ชาติหน้า ภพหน้า เทวดา พรหม เปรต สัตว์นรก ผลวิบากที่เกิดขึ้นจากการที่สัตว์ทำดีทำชั่ว มีจริงไหม
เรื่อง ชาติหน้า ภพหน้า เทวดา พรหม เปรต สัตว์นรก ผลวิบากที่เกิดขึ้นจากการที่สัตว์ทำดีทำชั่ว มีจริงไหม
1. ถามว่า ชาติหน้า ภพหน้า เทวดา พรหม เปรต สัตว์นรก ผลวิบากที่เกิดขึ้นจากการที่สัตว์ทำดีทำชั่ว มีจริงหรือ?
ตอบ มันยากที่จะอธิบายในเรื่องเหล่านี้ แต่จะบอกแลกเปลี่ยนความคิดเห็นพอเป็นแนวทางไว้ แล้วผู้สงสัยผู้ถามต้องไปหาความจริง ไปทดสอบเอาเอง
เพราะยากที่จะอธิบาย วิธีตอบปัญหานี้ส่วนมาก จะใช้การเปรียบเทียบเป็นหลัก เช่น เมื่อวานนี้ มีอยู่ เราก็ผ่านวานนี้มาแล้ว วันนี้ ก็มีอยู่ เพราะขณะนี้ เราอยู่ในวันนี้ ดังนั้น วันพรุ่งนี้ แม้จะยังมาไม่ถึง แต่ถ้าเรามีชีวิตอยู่ ก็จะเห็นได้ว่า วันพรุ่งนี้มีจริงแน่นอน ดังนั้น "ภพหน้า ชาติหน้า" ก็จะมีแน่นอนสำหรับผู้ยังไม่หมดสิ้นกิเลส
เทวดา พรหม เปรต สัตว์นรก ก็มีอยู่จริงเช่นเดียวกัน ผลที่เกิดขึ้นจากการทำดีทำชั่วก็มีอยู่จริง
การมีอยู่ของเรื่องชาติหน้า ภพหน้า เทวดา พรหม เปรต สัตว์นรก ผลวิบากที่สัตว์ทำดีทำชั่ว ไม่ได้เกี่ยวกับตัวเราว่า เพราะเรามีชีวิตอยู่ เราได้เห็น ได้พบ แล้วจึงจะบอกว่า มี เช่นกัน แม้เราจะไม่มีชีวิตอยู่ ไม่เห็น ไม่พบ จะบอกว่า ไม่มี ก็ไม่เกี่ยวกันเลย
การมีอยู่ของ ชาติหน้า ภพหน้า เทวดา พรหม เปรต สัตว์นรก ผลวิบากที่สัตว์ทำดีทำชั่ว มันมีอยู่ มันเป็นอย่างนั้นของมัน ไม่ว่าเราจะเชื่อหรือไม่เชื่อ มันก็มีอยู่อย่างนั้น ไม่ว่าเราจะมีชีวิตอยู่ ได้เห็นได้ฟัง หรือไม่มีชีวิตอยู่ ไม่ได้เห็น ไม่ได้ฟัง มันก็มีอยู่อย่างนั้น
2. ถามต่อไปว่า แล้วใครมาพูดมาบอกว่า "ภพหน้า เทวดา พรหม เปรต สัตว์นรก ผลวิบากที่เกิดขึ้นจากการที่สัตว์ทำดีทำชั่ว มีจริง" เชื่อถือได้หรือ
ตอบ ผู้ที่บอกเรื่อง "ภพหน้า เทวดา พรหม เปรต สัตว์นรก ผลวิบากที่เกิดขึ้นจากการที่สัตว์ทำดีทำชั่ว มีจริง" แรก ๆ คือพระอรหันตเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายนั่นเอง ท่านเป็นผู้มีญาณมีวิสัยเหนือปกติสามัญชน(ที่ติดข้องในกามคุณ) ท่านเป็นผู้บอกความจริงนี้ไว้ แล้วก็มีการบอกเล่าสืบ ๆ ต่อกันมาโดยคนโบราณยุคต่าง ๆ จนถึงยุคพวกเรา
ลองศึกษาสิ่งที่ท่านพระอรหันตเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายบอกหลาย ๆ อย่าง เช่น "อริยสัจจ์ 4 มรรคมีองค์ 8 มรรค 4 ผล 4 นิพพาน ตัณหา มานะ ทิฐิ อุปาทาน ขันธ์ 5 กามภพ รูปภพ อรูปภพ ฯลฯ ศึกษาดูว่ามันคืออะไร แต่อย่างจะนำไปสู่อะไร โดยวิธีใด ผลสรุปในที่สุดคืออะไร " เมื่อศึกษาดูชัดเจนดีแล้วก็ลองตรวจสอบตัวเราเองดูว่า (ถ้าเราไม่เคยได้ยินได้ฟังสิ่งเหล่านี้มาก่อนเลย) เราสามารถคิดสิ่งตามที่ท่านบอกไว้ออกมาเองได้ไหม เราทำได้ไหม ถ้าไม่ได้ก็แสดงว่า ปัญญาเรายังน้อยอยู่ เราจึงควรฟังท่านที่ก้าวล้ำกว่าเรา เราต้องถือท่านที่ล้ำหน้ากว่าเป็นกัลยาณมิตรเพื่อใช้เป็นเครื่องช่วยนำทางเราไปสู่สิ่งที่ถูกต้องยิ่งกว่า ดังนั้น ท่านเหล่านี้จึงเชื่อถือได้แน่นอน
3. อยากจะพิสูจน์ ชาติหน้า ภพหน้า เทวดา พรหม เปรต สัตว์นรก ผลวิบากที่เกิดขึ้นจากการที่สัตว์ทำดีทำชั่ว มีอยู่จริง จะทำอย่างไร
ตอบ หลีกตัวไปอยู่ที่สงัดวิเวก รักษาศีล บำเพ็ญเพียร เจริญจิตภาวนา มีสติ ไม่ประมาทต่อเนื่องเพียงพอ จนเกิดคุณสมบัติทิพยจักษุ (ตาทิพย์) ขึ้นกับตัวเอง ทิพยจักษุจะล่วงพ้นไปจากมังสจักษุ (ตาเนื้อของเรา) จะมองเห็น เทวดา พรหม เปรต สัตว์นรก ได้ จะเห็นที่อยู่ของเหล่า เทวดา พรหม เปรต สัตว์นรก ได้ และฝึกให้มีคุณสมบัติทิพยโสต (หูทิพย์) ขึ้นด้วย ก็จะข้ามขีดจำกัดของหูธรรมดา จะได้ยินได้ฟังเสียงของเทวดา พรหม เปรต สัตว์นรก ได้ จะได้ยินเสียงการละเล่นดนตรีในแดนสวรรค์ต่าง ๆ ได้
อีกอย่าง ต้องพัฒนาตนจนชัดเจนแน่นอนว่า ตัณหา (ความติดอยู่ในกามคุณ ทั้งรูปและอรูปต่าง ๆ) มานะ (การยึดติดถือตัวตน) และ ทิฐิ (ระบบความรู้ ความคิด ความเชื่อที่ครอบงำพฤติกรรมชีวิตประจำวัน) ของเรา มีมากน้อยหนาแน่นขนาดไหน คนเรายิ่งมีตัณหา มานะ และทิฐิมากเท่าไหร่ ก็ยากที่เราจะยอมรับและเชื่อว่า ภพหน้า เทวดา พรหม เปรต สัตว์นรก ผลวิบากที่เกิดขึ้นจากการที่สัตว์ทำดีทำชั่ว มีจริง เพราะตัณหา มานะ และทิฐิ เป็นสิ่งกีดกันปิดกั้นที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดต่อคนและสัตว์ต่าง ๆ ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงความจริงที่แท้จริงได้
ตัณหา มานะ และทิฐิ จึงเป็นตัวกำหนดความเป็นไปของชีวิตคน สัตว์ และโลกทั้งโลก
4. ถามต่อไปว่า แล้วผู้ไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ล่ะ จะทำอย่างไร
ตอบ เชื่อหรือไม่เชื่อ เป็นเรื่องของคน ๆ นั้นเอง เพราะคนเรามีตัณหา มานะ และทิฐิ ครอบงำปกคลุมอยู่หนาบางแตกต่างกัน
ยกกรณีเรื่อง "ทำดี ได้ดี ทำไม่ดี ได้ไม่ดี" เป็นตัวอย่าง
-แม้เขาจะไม่เชื่อว่า ทำดีแล้ว ได้ผลดี หรือทำไม่ดีแล้ว จะได้ผลไม่ดี แต่ถ้าเขาทำดี (ทั้ง ๆ ที่ไม่เชื่อ) เขาก็จะได้ผลดีอยู่นั่นเอง
-ถ้าเขาทำไม่ดี (แม้ไม่เชื่อว่าจะเกิดผลไม่ดี) เขาก็จะได้ผลที่ไม่ดีอยู่นั่นเอง ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ผลนั้นก็จะเกิดขึ้นตามหน้าที่และปัจจัยของมัน
ก่อนจะปฏิเสธว่า ชาติหน้า ภพหน้า เทวดา พรหม เปรต สัตว์นรก ผลวิบากที่เกิดขึ้นจากการที่สัตว์ทำดีทำชั่ว ไม่มี ต้องถามตัวเองว่า ได้ลงมือพิสูจน์หรือยัง ฝึกตัวเองให้มีคุณสมบัติจนมีตาทิพย์หูทิพย์หรือยัง ทำได้ถึงขั้นหรือยัง ถ้าตัวเองยังไม่ถึงขั้นแล้วบอกว่า ไม่มี ก็ช่วยอะไรได้ แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ตนเองยังมีตัณหา มานะ และทิฐิอยู่อย่างหนาแน่นมาก
หรือถ้ารู้ตัวและสรุปได้ว่า คุณสมบัติของเราไม่ถึงขั้นภาวะทิพย์นั้น ๆ ได้เลยในช่วงนี้ เราก็ต้องใช้วิธีฟังและเชื่อท่านผู้พระอรหันตเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้ จะไม่ดีกว่าหรือ
5. ถามต่อว่า พระอรหันตเจ้าผู้หมดสิ้นกิเลส และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้หมดสิ้นกิเลสด้วยตนเอง มีจริงหรือ เป็นเรื่องแต่งกันขึ้นกระมัง?
ตอบ เราต้องหาความรู้ที่ตรง ถูกต้องและชัดเจนด้วยตนเองว่า อะไรคือตัณหา มานะ และทิฐิ มีวิธีการชำระกำจัดตัณหา มานะ และทิฐินั้นอย่างไร และพระอรหันตเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ท่านปฏิบัติอย่างไรตลอดชีวิตของท่าน
ไม่ใช่แค่ฟังแล้ว ก็คิดเอง สรุปไปเองว่า พระอรหันตเจ้าผู้หมดสิ้นกิเลส และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้หมดสิ้นกิเลสด้วยตนเอง ไม่มีหรอก เป็นเรื่องแต่งขึ้น
หลักที่ควรถือไว้ประจำตัวอยู่เสมอมี 2 อย่างคือ
1. ถ้าเรายังศึกษาหนังสือเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาได้ไม่ถึง 3,000 เล่ม (อ่านแบบรู้เรื่องจริง ๆ ไม่ใช่สักแต่ว่าอ่านเพื่อทำสถิติ) อย่าด่วนสรุปว่า "ชาติหน้า ภพหน้า เทวดา พรหม เปรต สัตว์นรก ผลวิบากที่เกิดขึ้นจากการที่สัตว์ทำดีทำชั่ว" ไม่มี อย่าด่วนสรุปว่า "พระอรหันตเจ้าผู้หมดสิ้นกิเลส และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้หมดสิ้นกิเลสด้วยตนเอง" ไม่มี และ
2. ถ้ายังไม่ได้หลีกตัวไปอยู่ในที่สงัดวิเวก รักษาศีล บำเพ็ญเพียร เจริญจิตภาวนา มีสติ ไม่ประมาทอย่างต่อเนื่อง ขั้นต่ำ 25 ปีขึ้นไป อย่าด่วนสรุปว่า "ชาติหน้า ภพหน้า เทวดา พรหม เปรต สัตว์นรก ผลวิบากที่เกิดขึ้นจากการที่สัตว์ทำดีทำชั่ว" ไม่มี อย่าด่วนสรุปว่า "พระอรหันตเจ้าผู้หมดสิ้นกิเลส และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้หมดสิ้นกิเลสด้วยตนเอง" ไม่มี
เขียนโดย : สายด่วนชาวพุทธ
เขียนเมื่อ : 15 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อ่าน : 2429