ปรึกษาปัญหาชีวิต (สำหรับเจ้าของกระทู้)

อยากบอกความจริง !!!!
รายละเอียด
ตั้งแต่หนูขึ้นมอต้นมา เมื่อหลายปีมาแล้ว ถ้าปัจจุบันหนูยังเรียนอยู่ ก็คงอยู่มหาลัยปีสอง แต่หนูดันกลายเป็นเด็กที่ไม่เหมือนชาว ใครๆก็บอกว่าหนูสมองดี แต่หนูกลับไม่เรียน หนูจากบ้านไปเป็นเวลา 5 ปีเต็มๆ บางครั้งก็มีติดต่อกับพ่อแม่บ้าง บางครั้งผิดนัดก็ไม่ค่อยจะได้ติดต่อ แต่การไปของหนูครั้งนี้ หนูไปอยู่กับผู้ชายคนนึง อายุมากกว่าหนู3ปี เราก็คบกันจนต่างคนต่างเสียการเรียน ตอนนั้นคงยังเด็กเลยไม่คิดอะไรเลย ส่วนตัวผู้ชายเอง ตอนนั้นเค้าเจ้าชู้มาก หนูเลยไม่รู้จะทำยังไงด้วยความเป็นวัยรุ่นตอนนั้นอีก เลยปล่อยให้ตัวเองมีน้อง ด้วยความคิดบ้าๆที่ว่า เค้าจะได้อยุ่กับเรา แต่เรื่องกลับไม่เป็นแบบนั้น ที่บ้านเค้าแรกๆยอมรับเลยว่าไม่มีใครชอบหนูสักคน จนถึงตอนหนูมีน้อง กำลังตั้งท้อง ฝ่ายชายเอง เค้าก็ไม่ยอมบอกฝั่งพ่อแม่เค้า แต่ว่าแม่เค้าสังเกตุออก ฝั่งหนูเองไม่มีใครรู้เลย หนูไม่เคยได้ฝากท้องหรอกคะ จนถึงวันที่หนูคลอด แม่หนูเพิ่งไ้ด้รับรู้ เพราะแฟนหนูเป็นคนรับโทรศัพท์ บอกว่าหนูกำลังอยู่ในห้องคลอด ตัวหนูเอง ไม่มีเงินเลย แฟนเองก็ไม่มี แม่แฟนให้คำตอบที่ว่า เค้าไม่รุ้ไม่เห็นอะไรด้วย เค้าเลยไม่ขอมีส่วนร่วมในค่าใช้จ่าย แฟนหนูก็ไม่กล้าพอ ได้แต่พูดว่าจะไปหาจากไหนละ จนแม่หนูโทรมา บอกให้แฟนหนูนั่งรถไฟเพื่อไปเอาเงิน ส่วนตัวหนูเองก็รออยู่ที่โรงพยาบาล หนูรู้ว่าแม่ก็คงโกรธมาก สุดท้ายเค้าก็นั่งแท๊กซี่มาด้วยกัน แม่เอาเงินมาให้หนู แล้วเรียกออกมาคุย เค้าทิ้งท้ายไว้ด้วยคำพูดที่ว่า "ถือซะว่ากูไถ่ชีวิตวัว ชีวิตควายละกันนะ" หนุก็ทำไรไม่ได้ แม่ก็ได้แต่พูดตอกย้ำหนู จนก็ต้องร้องไห้ แล้วก่อนแม่จะกลับไปเค้าบอกว่าทำยังไงก็ได้อย่าบอกให้พ่อรู้ แล้วแม่ก็กลับไป ส่วนตัวหนูเองก็อยู่บ้านแฟนได้สักพัก ให้นมลูกได้มา 1 ปี หนูก็เริ่มไปทำงาน แต่ด้วยหนูทำงานไม่เป็นเวลา ทางบ้านเค้าเครือญาติก็จะเยอะ อย่างบางทีตัวหนูนอนกลางวัน เค้าจะพาคนโน้นคนนี้มากินข้าวที่บ้าน จนหนูทนไม่ไหว สุดท้ายต้องไปเช่าห้องเอง แต่แม่แฟนถือว่ายังดีนะคะ เค้าเลี้ยงให้ ส่วนตัวแฟนหนูเองก็เลิกเจ้าชู้ แต่ยังติดเกม จนตอนนี้ลูกหนู 3 ขวบแล้วหล่ะคะ ช่วงเดือนพฤศจิกา หนูกับแฟนไม่มีงานทำ แล้วแฟนหนูเค้าก็ไม่คิดจะทำอะไร ด้วยช่วงเวลาที่ผ่านมา ตอนที่ยังมีงานทำู แฟนก็ออกมอไซค์มาคันนึง แต่ตัวหนูเองไม่เห็นด้วยเลย ทำให้มีภาระเข้าไปใหญ่ แค่ค่าใช้จ่ายของลูกเองก็มากพอแทบจะไม่มีปัญญาจะจ่ายแล้ว จนเมื่อต้นเดือนธันวาที่ผ่านมา หนูหาทางออกไม่ได้จริงๆ เลยตัดสินใจกลับบ้าน แต่หารู้ไม่ หนูต้องกลัูบมาอยุ่แบบอึดอัดใจ จนตอนนี้ลูกหนูสามขวบแล้ว พ่อก็ยังไม่รุ้ มีแต่แม่ที่รู้ แล้วหนูก็ทำได้แค่บอกแม่ว่ามีคนอื่นเลี้ยงให้ไปแล้ว แต่ลูกหนูก็โทรมาจากฝั่งโน้นบ่อยๆ แล้วไม่รู้ว่าฝั่งโน้นเค้าสั่งให้ลูกหนูพูดรึเปล่ามันทำให้หนูยิ่งกดดัน จนตอนนี้ตัวหนูเครียดมากร้องไห้ตลอดอยู่ทุกวัน เพราะตัวลูกหนูเอง เค้าก็พูดว่าอยากมาอยู่กับหนู หนูอึดอัดใจ มากเลยค่ะ เครียดจนกลัวเส้นเลือดในสมองจะแตก เพราะหนูเครียดแบบนี้มานานมากแล้ว ปรึกษกับแฟน เค้าก็ทำได้แค่พูดว่า ถึงเวลาเด่วจะพาไปเอง แต่หนูคิดถึงลูกมากตอนนี้ จะออกจากบ้านไปไหนพ่อก็จะระแวงหนูกลัวไม่กลับมาอีก หนูอยากบอกพ่อมาก อยากสารภาพกับพ่อ แต่หนูก็ยังกลัวโดนตบ โดนไล่ออกจากบ้านอีก ไม่รู้จะทำยังไงเลยค่ะ เครียดแบบหยุดคิดไม่ได้เลย
ความต้องการ
หนูควรทำยังไงดีค่ะ ควรจะพาแฟนมาสารภาพกับพ่อด้วยมั้ย หรือหนูจะบอกไปเลยตัวคนเดียวว่าหนูมีลูก หนูมีเรื่องต้องไปรับผิดชอบ อึดใจมากค่ะ อยา็กคนนึง หนูควรทำอย่างไรดีค่ะ รบกวนช่วยแนะนำออกความคิิดเห็นด้วยนะคะ ขอบคุนมากค่ะ
ชื่อผู้ถาม
ฝน
วันที่เขียน
29 ธันวาคม พ.ศ. 2556 19:01:54
จำนวนคนเข้าดู
1847

คำตอบ

คำตอบที่ 1
ตอบคุณฝน

เรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา  อาจารย์รู้สึกว่าหนูโตเกินอายุแล้ว  หากมองในแง่ดีก็ถือว่าเป็นผู้ใหญ่เร็วครับ
คนเราจะผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายไปได้ก็ด้วยการมองโลกในด้านดีไว้ครับ
โปรดจำคำแนะนำนี้ไว้นะครับ  มองแต่ด้านดี

สำหรับคำแนะนำของอาจารย์มีดังนี้ครับ

1.พยายามยืนขึ้นด้วยลำแข้งของตนเองได้แล้ว.... คนอ่อนแอจะต้องคอยพึ่งพาคนอื่น  เมื่อคอยพึ่งพาคนอื่น
ก็ต้องคอยมองสีหน้าคนอื่น ว่าเขาจะว่าเราไม๊  เขาจะตำหนิเราไม๊  ซึ่งเป็นการใช้ชีวิตอยู่บนท่ามกลาง
ความหวาดหวั่น
ดังนั้น  คุณฝนต้องรีบหาทางยืนบนลำแข้งตัวเองให้เร็วที่สุด

2.พยายามหางานทำ หารายได้เอง  แต่ด้วยวุฒิที่จบมาไม่สูงนักอาจจะไม่ได้เงินที่สูงมาก
แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีงานทำ คนภายนอกเค้าก็สู้กันมาได้  คุณฝนก็ต้องสู้ได้เช่นกัน ยกเว้นแต่จะรักสบายเท่านั้น
รีบหางานทำ และ เก็บเงินให้มากๆจนสามารถเลี้ยงดูลูกได้

3.พยายามเรียนต่อ  กศน.  เพื่อเอาวุฒิ มาต่อ ป.ตรี   อาจจะเป็น ม.ราม  หรือ  ม.สุโขทัยฯ
เพื่อให้มีวุฒิสูงขึ้น เพื่อให้หางานที่สร้างเงินมากขึ้น   เว้นแต่คุณฝนจะเปิดกิจการส่วนตัว เช่น
ขายของ หรือ  เปิดร้านอาหาร  ขายอาหาร   ไม่ว่าจะเป็น  รถเข็นส้มตำ  เสื้อผ้า  ฯลฯ  ก็เข้าท่าดี
จำไว้นะครับ  ไม่อ่อนแอ   ขยันสู้งาน   เลิกร้องไห้ เพราะมันไม่ช่วยอะไรให้ดีขึ้น
พระท่านว่า  เสียเหงื่อเพราะเหนื่อย ดีกว่าเสียน้ำตาเพราะความอ่อนแอ

4.ความจริงที่อยากบอกพ่อ.....  ลองคิดเองว่า บอกแล้วดีอย่างไร   บอกแล้วจะเกิดอะไรให้ชีวิตตัวเองดีขึ้น
ความกลัวว่าการที่พ่อรู้แล้วถูกตบ  หรือไล่ออกจากบ้าน  ก็เพราะเราพึ่งตนเองยังไม่ได้   พอพึ่งตนเอง
ไม่ได้ก็เลยอยากพึ่งพ่อแม่   แต่ใจก็อยากบอกความจริง   แต่กลัวโดนไล่ออกจากบ้านเลยไม่กล้าบอก
มันก็จะวนเวียนไปมาๆแบบนี้ไม่จบ  งูกินหาง
ดังนั้น  อาจารย์ไม่มองความสำคัญเรื่องการบอกความจริงเลยโดนตบมันเรื่องเล็กสำหรับเวลานี้ไปแล้วครับ
อาจารย์กลับมองแต่เรื่อง   "การพึ่งตนเองของคุณฝน   อาชีพที่ควรทำ   การหารายได้มาเลี้ยงตนเองและลูก"
เป็นเรื่องที่สำคัญกว่าครับ
ตอนนี้มันถอยไม่ได้ครับ  จะทำแบบเนียนๆนานไปเรื่อยๆก็สงสารตัวเองและลูกครับ
ทำตัวน่าสงสาร น่าอายมากกว่า คนลุกขึ้นยืนแล้วล้ม
ถึงเวลาลุกขึ้นลุย  ลุกขึ้นสู้อย่างมีศักดิ์ศรีแล้วครับ
เร่งสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้เพียงพอแล้วรีบรับลูกมาเลี้ยงเองครับ  ไม่ต้องคอยพึ่งใคร ทั้งบ้านสามี  บ้านเรา
พึ่งตัวเองให้ดีที่สุดครับ

ลูกของเรา เราต้องเลี้ยงดูเอง  สามขวบก็ใกล้เข้าเรียนแล้ว
อย่าหนีปัญหาเลยนะครับ   ที่ผ่านมาเราอ่อนแอมาแล้วก็แล้วกันไปครับ
เริ่มต้นสร้างตนเองใหม่  สร้างชีวิตใหม่ หยุดร้องไห้ได้แล้ว  
เริ่มต้นวันนี้ไม่มีคำว่าสายเลย.....  หมั่นสวดมนต์ไหว้พระ  ถือศีล5 ให้ครบถ้วน

สู้แล้วชนะแน่นอนครับ
 
ชื่อผู้ตอบ
อาจารย์ผู้ให้คำปรึกษา 399
วันที่เขียน
29 ธันวาคม พ.ศ. 2556 23:02:26
คำตอบที่ 2
หนูขอบคุณอาจารย์มากเลยนะคะ คำตอบของอาจารย์ทำให้หนูซาบซึ้งจริงๆ ต่อไปนี้หนูจะไม่ร้องไห้ ที่หนูกลับมาบ้านส่วนนึงหนูกำลังหาช่องทางเพื่อกลับไปเรียนต่ออยู่ค่ะ กำลังติดต่ออยู่เหมือนกัน ตอนนี้ก็กำลังหางานใกล้ๆบ้านทำอยู่ค่ะ หนูอยู่บ้านทำงานใกล้ๆ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรมาก หนูตั้งใจไว้แล้วค่ะ ว่าอยากจะเก็บเงิน หนูคิดถึงลูก หนูต้องทำให้ลูกให้ได้ หนูจะไม่ร้องไห้อีกแล้วค่ะ ถ้าวันที่หนูอ่อนแอ หนูจะหมั่นนึกถึงคำสอนคำแนะนำของอาจารย์นะคะ ขอบพระคุณมากจริงๆนะคะ
ชื่อผู้ตอบ
ฝน
วันที่เขียน
30 ธันวาคม พ.ศ. 2556 13:18:13
ทั้งหมด 2 รายการ
1 / 1
อ่านป้ายฉลากยา 10,000 รอบ แต่ไม่กินยา มันก็คงรักษาโรคอะไรไม่ได้
เช่นกัน แม้ว่าจะอ่านหนังสือ 10,000 เล่ม ฟังเทศน์ 10,000 เรื่อง ปรึกษาผู้รู้ 10,000 คน ประโยชน์ก็มีเพียงน้อยนิด
หากเราไม่ลงมือทำ ไม่ลงมือปฏิบัติ ไม่พยายามทำ การมัวแต่คิดอยากให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ไปเฉยๆ จะมีผลสำเร็จอะไร