ปรึกษาปัญหาชีวิต (สำหรับเจ้าของกระทู้)

มีหนี้ประมาณ 4 ล้านบาท
รายละเอียด
ดิฉันแต่งงานและมีบุตรชาย 1 คน และได้หย่ากับสามีเพราะเหตุผลบางประการ ดิฉันต้องเลี้ยงลูกคน ดูแลพ่อแม่ที่มีอายุ 88 ปี น้องชายที่ป่วยเป็นมะเร็งเมื่อปี 2558 อาการก็ยังคงที่ ซึ่งค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง และได้ส่งลูกชายเรียนจบปริญญาตรีเมื่อประมาณ ปี 2558 ซึ่งด้านการเงินนั้นต้องไปขอยืมผู้อื่นมา และการกู้ธนาคารบ้าง รวมแล้วประมาณ 4 ล้านบาท ลูกชายก็ยังอยู่ในขั้นทดลองงาน เจ้าหนี้ก็ตามทวงต้องการเงินคืน ดิฉันกลุ้มใจมาก ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรดีค่ะ คิดแทบสมองจะแตกเป็นเสี่ยงๆ เปรียบในขณะนี้ยิ่งกว่าป่วยเป็นโรคมะเร็งขั้นสุดท้ายอีกค่ะ ดิฉันอยากตายไปจากโลกนี้จริงๆ แต่ก็ยังมีห่วงอีก 4 ชีวิตค่ะ พวกเขาจะทำอย่างไร จะเสียใจแค่ไหน แต่ดิฉันก็ยังไม่เห็นหนทางที่จะแก้ไขให้ดีขึ้นค่ะ จะสวดมนต์สักกี่จบ ก็ไม่เกิดผล ใจก็ยังไม่สงบค่ะ ดิฉันต้องการมีเงินมาปลดหนี้ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ค่ะ เคยมีจดหมายไปขอความช่วยเหลือจากคนที่มีตำแหน่งสูงในวงการราชการ แต่ก็ไม่ได้รับการตอบกลับมาค่ะ ดิฉันหมดหนทางจริงๆ ค่ะ คงจะถึงเวลาที่จะต้องตัดสินใจทำอย่างใดอย่างหนึ่งค่ะ ดิฉันคงจะหมดหนทางที่จะดำรงชีวิตต่อไปได้อย่างไรค่ะ มันมิดมนไปหมดค่ะ
ความต้องการ
ดิฉันต้องการจะหมดหนี้ ต้องการมีชีวิตที่อืสระ ไม่ต้องอยู่ในสายตาที่จ้องมองแบบนักโทษค่ะ อยากได้ผู้ใจบุญ มีจิตใจดีกรุณาให้ความอนุเคราะห์ปลดหนี้ให้ก่อนค่ะ และดิฉันจะเริ่มผ่อนเงินที่ท่านกรุณาออกให้ก่อน ถึงแม้จะเป็นการผ่อนหนี้อีกก็ตาม แต่ก็เป็นการเปลี่ยนจากเจ้าหนี้คนเดิม ซึ่งมีหลายคน ดิฉันจะมีความสบายใจขึ้นบ้าง ถ้าหากจะเป็นเจ้าหนี้รายเดียวค่ะ **ขอความกรุณาท่านผู้ใจบุญ โปรดให้ความเมตตาแก่ดิฉันด้วยเถิดค่ะ จะไม่ลืมพระคุณของท่านตลอดชีวิตค่ะ** ***ขอเป็นการผ่อนเงินทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยนะคะ*** ขอได้โปรดเถิดค่ะ......
ชื่อผู้ถาม
สมปอง มาลาบุญ
วันที่เขียน
17 สิงหาคม พ.ศ. 2560 15:23:26
จำนวนคนเข้าดู
1350

คำตอบ

คำตอบที่ 1
1. การมีหนี้  ก็จะเครียดบ้าง เมื่อหาใช้คืนเขาล่าช้า ไม่ตรงเวลา แต่เราก็ต้องรู้สึกภูมิใจตัวเองด้วย  เราเป็นคนที่ใช้ได้คนหนึ่ง เราเครียด เพราะเรามีความรับผิดชอบต่อเจ้าหนี้

2. นึกถึงความดีของตัวเองที่เราทำหน้าที่เลี้ยงดูพ่อแม่ เราทำความดีที่ยิ่งใหญ่มากเลย ทำไมจึงจะคิดหนีพ่อแม่ไป มันไม่ถูกเลย  เราต้องอยู่ สู้ ลุย เพื่อพ่อแม่และลูก ๆ ต่อไป 

3. เตือนตัวเองไว้ เราแค่เป็นหนี้ เราไม่ใช่ฆาตรกรเลย เราไม่ได้ทำผิดอะไรรุนแรงถึงขนาดไปฆ่าชีวิตคนอื่นเลย  เรากำลัังหาใช้หนี้ อยู่เราไม่ได้หนีเจ้าหนี้ นี่ถือว่า เราใช้ได้แล้ว  เจ้าหนี้เขาหรือใคร ๆ จะด่าว่า นินทาบ้าง ก็ต้องยอมรับมัน เพราะเราใช้คืนเขาช้า ไม่ต้องไปโกรธ เกลียดพวกเขา  แต่เราก็ทำสัญญาแน่นอนว่าจะใช้คนเขาแน่นอนมิใช่หรือ (ถ้าไม่มีหนังสือสัญญาให้รีบไปคุยและทำกับทุกราย)   คุยกับเขา ขอความกรุณา อาจเพิ่มดอกเบี้ยให้เขาบ้าง แต่ขอเลื่อนระยะจ่ายคืนออกไป

4. เราทำงานอะไรอยู่ทุกวันนี้  ถ้างานนั้น เงินตอบแทนน้อย ต้องคิดอ่านวางแผนเปลี่ยนงาน ต้องกล้าเสี่ยงเหมือนกัน เพราะถ้าทำแบบเดิม ๆ หนี้ก็จะคงอยู่แบบเดิม

งานอะไรจะได้เงินเร็วและมาก นอกจากงานค้าขาย คงไม่มี  เราต้องการรายได้ต่อเดือนเท่าไหร่ สัก 6-8 หมื่นพอเป็นไปได้ไหม  ไม่น่าจะพ้นงานทำอะไรออกขาย ผลิตสินค้าอะไรออกขาย  ทำร้านอาหาร ไก่ย่าง ส้มตำ ลาบ น้ำตก  ข้าวต่ำ อาหารกลอ่ง  เครื่องดื่ม ฯลฯ ทำให้ดี ทำให้อร่อย ทำให้มีสไตล์ ให้น่าสนใจ  ทำให้ลูกค้าติด ก็น่าจะเป็นไปได้ หรือจะสมัครเป็นตัวแทนขายสินค้าและบริการต่าง ๆ (เราต้องหาข้อมูลให้ดี หาให้เป็น) เราจะเอาอะไรมาขายได้  มันต้องลุย และลุยแบบคนรู้ลึกรู้จริง ไม่ใช่วิ่งตามกระแสประเดี๋ยวประด๋าวก็ไม่เดินต่อ

5. ทรัพย์สินที่มีอยู่ เช่น รถ อาจต้องจำนำ หรือขาย  ที่ดิน ฯลฯ อาจขายออกไปก่อน 

6. คุยกับลูก ให้กำลังใจกัน ปลุกใจกันให้เข้มแข็งและมั่นคง ร่วมคิดร่วมปรึกษากัน ไม่ต้องด่ากัน ไม่ต้องตำหนิกัน  ลูกต้องตัดสินใจมาช่วยแม่ทำธุรกิจ อาจดีกว่า คุ้มกว่าในระยะ 5-10 ปีนี้ คือต้องมาทำกิจการเอง ไม่ต้องไปเป็นลูกจ้างใครแล้ว เงินเดือน 20,000  ปีละ 240,000 แต่ถ้าหารายได้เอง มีเงินเข้าครอบครัววันละ 3 พันขั้นต่ำ น่าจะดีกว่า

7. การคิดอยากตาย การพยายามทำให้ตัวเองตายไม่ว่าจะด้วยวิธีใด ๆ เป็นบาปที่หนักมาก หนี้ที่มีอยู่ก็ไม่หมด ทิ้งให้คนข้างหลัง และแม้เราจะฆ่าตัวตายไป หนี้ก็จะตามติดตัวเราต่อไป เกิดมาชาติไหน ก็จะขาดแคลน มีทรัพย์สินก็จะหมดหายไป ยากแค้น ไม่มีอะไรเหลือเช่นกัน 

อย่าคิด และอย่าไปทำแบบนี้เลย มันหนีหนี้ได้ไม่จริง หนี้จะหนีมันได้ ต้องใช้คืนเขาเท่านั้น ไม่ใช่ไปฆ่าชีวิตตัวเองหนีไป

8.  การฟังเทศน์ และสวดมนต์ ฝึกสมาธิ ถ้าทำเป็น จะทำให้จิตสงบได้  ถ้าทำไม่เป็น ก็ไม่มีผล  หรือได้ผลน้อย ดังนั้น คิดอ่านให้เป็น ฟังให้เป็น และทำให้ถูกวิธี


จิตที่สงบแม้จะวันละ 20-30 นาที มันจะมีพลังสะสม (ถ้าเคยทำต่อเนื่องมาก่อน มันจะทำง่าย ถ้ามาทำปุ๊ปปับ ก็ต้องให้เวลามันด้วย)  จิตที่มีพลัง จะมุ่งมั่น กล้าแกร่ง ทำอะไรก็ประสบความสำเร็จ ตั้งใจฝึกให้ถูก นอนก่อน 21.30 น. ตื่น 04.30 น. สวดมนต์ เดินจงกรม นั่งสมาธิ แผ่เมตตา ทำสม่ำเสมอทุก ๆ ต่อเนื่องไป 9 เดือนจะเห็นผลดี ทำ ๆ หยุด ๆ ไม่ต่อเนื่องมักไม่ได้ผล

9. อย่าไปหวังพึ่งใคร  เพราะยากจะมีใครช่วยเราได้ นอกจากตัวเราเองเท่านั้น บางทีคนที่เราว่า มีตำแหน่งสูง ๆ นั้น เขาก็มีหนี้สินมากมายที่เราไม่รู้ และถ้าไม่รู้จักกันจริง ๆ ก็ยากที่จะช่วยเราได้  การที่เขาไม่ช่วย ไม่ใช่ความผิดอะไรของเขา เพราะเขาก็ห่วงความมั่นคงของตัวเองและครอบครัวเช่นกัน 

อีกอย่าง คนที่ใจบุญมีเมตตากรุณา มักไม่ค่อยมีเงินทองมากมาย ดังนั้น เขาก็คงไปช่วยเงินทองให้ใครได้ยาก  เราต้องเข้าใจความเป็นแบบนี้

10. อย่าไปสนใจเรื่องดวง ชะตา วาสนา หรือบุญเก่า เสี่ยงโชคเสี่ยงดวง เพราะเลื่อนลอย  สู้คิดให้ละเอียด เราจะค้าขายอะไร แล้วลงมือทำอย่างจริงจังไม่ได้

11. ในประเทศนี้ มีคนที่เป็นหนี้มีเยอะมาก ไม่ใช่แค่เราคนเดียวที่ประสบปัญหานี้ จงอย่ารู้สึกโดดเดี่ยวไร้ที่พึี่ง จงกลับมามองตัวเอง เราจะทำอะไร จึงจะมีรายได้ ทุกอย่างเรียนรู้ได้ ฝึกได้ และทำกันได้

ไม่มีอะไรเกินความสามารถของคนเรา หนี้ไม่ถึง 100,000 ล้าน มาใจเสาะ งอแง ท้อแท้ ถือว่า ใช้ไม่ได้
เมื่อเราก่อหนี้ได้ เราก็จะสามารถหามาใช้มันคืนได้สิ

---------
ถ้าท้อแท้  อยากตาย  ไม่อยากอยู่  ให้นึกถึงแม่สุนัขตัวผอมโซหนังติดโครงกระดูก  มันวิ่งพล่านหากินไปทั่ว เผื่อจะมีอะไรให้ได้แทะได้กินบ้าง  แต่วิ่งทั้งวันก็ไม่มีอะไรให้กินเลย  แต่มันก็ยังวิ่งเอานมเหี่ยว ๆ โตงเตง ๆ นั้นมาป้อนให้ลูกของมัน  นี่คือความรักของแม่ต่อลูก มันยิ่งใหญ่มาก  เราเป็นคน เราต้องคิดได้ดีกว่า และทำได้ดีกว่าแม่สุนัขตัวนั้น



 
ชื่อผู้ตอบ
อาจารย์ผู้ให้คำปรึกษา 99
วันที่เขียน
17 สิงหาคม พ.ศ. 2560 18:37:43
คำตอบที่ 2
ดูข้างล่างนี้ แล้ววางแนวคิดให้ตัวเอง และนำมาปรับใช้กับตัวเอง
---------------

ชีวิตคนเรา มีสุข มีทุกข์ มีได้ มีเสีย คละเคล้าผสมปนเปไปทุกวัน สิ่งนี้เป็นธรรมดา เพราะสติ เพราะปัญญาของคนเราไม่ได้เต็มเปี่ยมตลอดเวลา

ชีวิตคือปรากฎการณ์ชั่วคราว ชีวิตคนเรานี้สั้นมาก ๆ จงใช้ชีวิตนี้สร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามให้กับตนเอง คนอื่น สังคมและโลก ทำให้เต็มที่สุดความสามารถของเรา

เมื่อมีชีวิตอยู่ จงมีสติเต็มเปี่ยม พร้อมเผชิญกับทุกเหตุการณ์ ทั้งที่เราชอบ และไม่ชอบ ผิดหวังและสมหวัง เผชิญกับมันอย่างมีสติ มีปัญญา

เราต้องมองทุกอย่างตามสภาพจริง และลุยแก้ตามความเป็นจริง
-------------

วันเวลาของชีวิต หมดไปอย่างรวดเร็ว
อายุ วัยและความหนุ่มสาว หายไปอย่างเร็วไว
วันและคืนหมุนเวียนไป ย่อมกลืนกินชีวิตให้หมดหายไป

เชื่ออะไร เชื่ออย่างไร คิดอย่างไร ทำอย่างไร 
ก็สุดแท้แต่กำลังสติและปัญญาของบุคคลนั้น ๆ  

ทุกชีวิต ย่อมผันแปรและเป็นไปต่าง ๆ 
ตามการคิด การพูด และการกระทำของตัวเอง 

คิดอะไร ก็คิดได้ แต่อย่าให้ผิดศีล ผิดธรรม
พูดอะไร ก็พูดได้ แต่อย่าให้ผิดศีล ผิดธรรม ผิดกฎหมาย
ทำอะไร ก็ทำได้ แต่อย่าให้ผิดศีล ผิดธรรม ผิดกฎหมาย

-------------------
ธรรมะ แก้ปัญหาได้ทุกอย่าง ธรรมะคือภูมิปัญญาดั้งเดิมที่มีอยู่เพื่อมนุษย์ทุกคน แต่จะมีใครสนใจหรือไม่เท่านั้น

ถ้าต้องการแก้ปัญหาชีวิต ขอเพียงตั้งใจ อดทน อ่านหนังสือธรรม ฟังธรรม  และฝึกจิตให้อยู่กับศีลกับธรรมต่อเนื่องไปไม่เกิน 9 เดือน อะไร ๆ ก็จะดีขึ้น งดงามขึ้น ชีวิตมีความสุขง่ายขึ้น ทุกข์น้อยลง ปัญหาชีวิตจะน้อยลง

การพึ่งตัวเองได้ การฝึกตัวเองให้อยู่กับศีลกับธรรมนั่นแหละ คือการนำธรรมะมาจัดการชีวิตที่ดี
--------------

เวลาเดือดร้อน เกิดปัญหาต่าง ๆ มากมาย จะเครียด และมัวแต่จะโทษเวรกรรม โทษดวง โทษชะตา โทษปี เดือน วันเกิด "ทำไม จึงเป็นแบบนี้นะ ทำไมชีวิตฉันต้องมาเจออะไรแบบนี้ มันเป็นเวรเป็นกรรมอะไรของฉันอย่างนี้"

แต่คนที่มีปัญญากว่า จะไม่โวยวาย ตีโพยตีดาย เมื่อเผชิญหน้ากับปัญหาต่าง ๆ จะมองปัญหาแล้วไล่ตรวจว่า สาเหตุมาจากอะไร แล้วหาทางแก้ไขที่สาเหตุนั้น ๆ มากกว่าจะไปสนใจเรื่องเวรกรรม ความซวย ดวงไม่ดี ปีชง อะไรนั่น
------------------
เป็นคน พร้อมเผชิญกับทุกสิ่งอย่างมีสติ อย่างมีปัญญาสูงสุด  
 
เห็นคนอื่นเครียด เราต้องไม่เครียด
เห็นคนอื่นโกรธ เราต้องไม่โกรธ
เห็นคนอื่นเศร้า เราต้องไม่เศร้า
เห็นคนอื่นอ่อนแอ เราต้องไม่อ่อนแอ
เห็นคนอื่นหงุดหงิด เราต้องไม่หงุดหงิด
ไม่ว่าจะสถานการณ์ใด เราต้องยิ้มได้ 
และพร้อมเผชิญกับทุกสิ่งอย่างมีสติ อย่างมีปัญญาสูงสุด

-------------------
ชีวิตคนเรา ก็ไม่มีอะไรมาก เกิดมาแล้ว ก็ต้องพบกับสิ่งที่ดี ไม่ดี สมหวัง ผิดหวังคละเคล้าปนเปกันไปทุกวี่วันทุกเดือนทุกปีอยู่แล้ว
จริง ๆ แล้ว ชีวิตคนเรา ก็ไม่มีอะไรมาก เกิดมาแล้ว ก็ต้องพบกับสิ่งที่ดี ไม่ดี สมหวัง ผิดหวังคละเคล้าปนเปกันไปทุกวี่วันทุกเดือนทุกปีอยู่แล้ว  เมื่อเราเข้าใจความจริงนี้แล้ว ไม่ยึดติดมัน เราจะไม่เครียด ไม่เศร้า ไม่หมอง จะเดินต่อไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง ไม่โทษเวรกรรม ไม่โทษคนโน้นคนนี้

ชีวิตแต่ละคน เป็นสมบัติของตัวเอง คนแต่ละคนสามารถสร้างสิ่งดีงามได้ด้วยร่างกายของตนนี้ แต่เมื่อหมดลมหายใจแล้ว ก็หมดสิทธิ์ใช้ร่างกายนี้สร้างกุศลได้แล้ว ต้องไปตามกรรมที่ตนได้กระทำไว้ตอนมีชีวิตอยู่นั่นเอง

ที่พึ่งอื่นของเราไม่มี มีแต่ตัวเราเท่านั้น พึ่งตัวเราเองได้ คือจิตของเราที่ฝึกให้ดีแล้ว ฝึกให้มีศีลให้มีธรรมแล้วนั่นแหละ จะเป็นที่พึ่งของเรา

เมื่อเราหมดลมหายใจลง ลูก เมีย พ่อ แม่ ญาติ หรือใคร ๆ ก็ไม่ได้ไปกับเราเลย เราผู้เดียวเท่านั้นไปสู่โลกหน้าผู้เดียว บุญ หรือบาปที่เราทำไว้ขณะมีชีวิตอยู่นั่นเอง จะนำเราไปสู่สุคติ คือสถานที่ดีงาม เช่น เทพ พรหม มนุษย์  หรือนำเราไปทุคติ สถานที่ตกต่ำเลวร้าย เช่น นรก เปรต เดรัจฉาน

ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด จะดีเลิศ หรือเลวร้ายแบบไหน จงรักษาจิตของเราให้มีศีลมีธรรม มีเมตตาอยู่เสมอ อย่าให้สติหลุดหาย อย่าให้ปัญญาตกต่ำไป

ทำแบบนี้ ชีวิตเราจะงดงามและคุ้มค่าที่ได้เกิดมา

----------------------
ธรรมะแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง ธรรมะป้องกันปัญหาได้ทุกอย่าง
จงรีบนำธรรมะมาใช้ดูแลชีวิตตัวเองทุกลมหายใจเข้าออก ตลอดเวลาทุกวันคืนตั้งแต่ตื่นนอน-นอนหลับ เพราะ-

ชีวิตที่ขาดธรรมะ เมื่อพบเจอปัญหา จะท้อแท้ สิ้นหวัง
ชีวิตที่ขาดธรรมะ เมื่อพบเจอปัญหา จะรู้สึกโดดเดี่ยว ไม่เหลือใคร
ชีวิตที่ขาดธรรมะ เมื่อพบเจอปัญหา จะเสียศูนย์ เศร้าหมอง
ชีวิตที่ขาดธรรมะ เมื่อพบเจอปัญหา จะอ่อนแอ ร้องไห้
ชีวิตที่ขาดธรรมะ เมื่อพบเจอปัญหา จะร้อนรน น้อยใจ
ชีวิตที่ขาดธรรมะ เมื่อพบเจอปัญหา จะก่อเวร สร้างศัตรู
ชีวิตที่ขาดธรรมะ เมื่อพบเจอปัญหา จะขาดพลังสร้างสรรค์
ชีวิตที่ขาดธรรมะ เมื่อพบเจอปัญหา จะไม่อยากอยู่ จะอยากตาย
ชีวิตที่ขาดธรรมะ เมื่อพบเจอปัญหา จะทำลาย จะรุนแรง
ชีวิตที่ขาดธรรมะ เมื่อพบเจอปัญหา จะไม่สู้หน้าแก้ปัญหา แต่จะหนีปัญหา
ชีวิตที่ขาดธรรมะ เป็นชีวิตที่สูญเปล่า

-------------------
 
ชีวิตไม่ใช่การหายใจทิ้งไปวัน ๆ 
ชีวิตไม่ใช่การนั่งนอนให้ผ่านพ้นไปวัน ๆ
ชีวิตไม่ใช่การกิน เที่ยว เล่น สนุกไปวัน ๆ
ชีวิตไม่ใช่การผลาญทรัพยากรโลกไปวัน ๆ
ชีวิตไม่ใช่การรอให้แก่และตายไป
แต่ชีวิตคือการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามสำหรับตนเอง เพื่อนมนุษย์ และโลก
ทุกลมหายใจเข้าออกของคนเราสามารถสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามได้
และสิ่งที่ดีงามที่สุดก็คือ ทาน ศีล และจิตภาวนา นั่นเอง

----------------------
 
เปิดใจ ยิ้มให้ตัวเอง ยิ้มให้โลก ยิ้มให้เพื่อนร่วมโลกทุกชีวิต แม้เขาจะไม่ชอบเราก็ตาม
เปิดตา กล้ามองทุกคน กล้าสบตากับคน กล้าพูดคุยกับทุกคน กล้านับถือชีวิตอื่น ๆ ทุกคน แม้เขาจะคิดต่างจากเรา
เปิดใจ ให้อภัยทุกคน ไม่ติดใจใคร ไม่แค้นเคืองใคร ปล่อยวางได้ ไม่เก็บมาคิดมาก
เปิดความกล้า กล้าฟังคนด่า กล้าฟังคนนินทา ไม่หนีเมื่อเขาด่าว่านินทา พร้อมฟัง พร้อมอธิบายความจริง  และไม่โกรธคนเหล่านั้น
เปิดความมุ่งมั่น มุ่งมั่นเรียนให้ดีเลิศ ทำงานให้ดีเลิศ สร้างชีวิตให้ก้าวหน้าไปจนใคร ๆ อยากทำตาม
เปิดความกล้า ไม่กลัวใคร ไม่หวั่นเกรงใด ๆ เมื่อเราทำถูกต้อง คิดถูกต้อง และพูดถูกต้อง

-----------------------
ไม่มีที่พึ่งอื่นใด ดีเท่ากับจิตของเราเอง
ไม่มีเพื่อนคนใด ดีเท่าจิตของเราที่ฝึกได้แล้ว
จิตคนเรานี้ แม้มันจะวอกแวกวุ่นวายแค่ไหน ก็สามารถฝึกได้ 
จิตที่ฝึกดีแล้ว คือที่พึ่งที่แท้จริงของคนเรา

ดังนั้น เราต้องฝึกจิตทุก ๆ วัน ทุกเวลา เหมือนร่างกายต้องกินอาหารทุกวัน
ฝึกจิตให้อยู่กับศีลกับธรรม ไม่ใช่ไปอยู่กับความหลง ความยึดติด ความเคร่งเครียด ความเศร้า ความเหงา ความอยากได้อยากมีเกินฐานะความเป็นจริง 

ทุก ๆ วัน ให้หามุมที่เงียบสงบ ปิดเครื่องมือสื่อสาร หยุดกิจกรรมอื่น ๆ 
นั่งตัวตรง ๆ นิ่ง ๆ หลับตา ผ่อนคลาย สำรวมจิต ตั้งใจรับรู้ลมหายใจเข้าออกของเราเท่านั้น สัก 25-55  นาที

ต้องผ่อนคลาย เป็นธรรมชาติ ไม่บังคับลมหายใจ
หน้าที่เราคือ เพียงรับรู้มันให้ทันว่า ลมหายใจออก ก็รู้ว่า ลมหายใจออก  ลมหายใจเข้า ก็ตามรับรู้ว่าหายใจเข้า 
รับรู้ไปเรื่อย ๆ ไม่ให้วอกแวก ถ้าเผลอไปคิดเรื่องอื่น ๆ  ไปคิดเรื่องในอดีต ไปคิดฟุ้งถึงเรื่องในอนาคต ก็รีบดึงจิตมาตั้งใจดูลมหายใจนี้อีก ดึงมันกลับมา ไม่เคร่งเครียด หรือท้อแท้ใจ

ทำแบบนี้ทุก ๆ วัน วันละ 25-55 นาที ต่อเนื่องไปสัก 90 วัน 
ทำแบบนี้แหละ จิตของจะสงบ มั่นคง และมีพลัง
จิตที่สงบ มั่นคง มีพลัง ทำอะไรก็ประสบความสำเร็จได้ง่าย

-------------------
ความไม่รู้ ทำให้ผิดพลาดทุกอย่าง
ความไม่รู้ ทำให้เสียหายทุกสิ่ง
ความไม่รู้ ทำให้พ่ายแพ้ทุกสังเวียน
ความไม่รู้ ทำให้ล้มเหลวทุกกรณี
จงกำจัดความไม่รู้ ก่อนที่ความไม่รู้จะกำจัดเรา

ความไม่รู้ ทำให้เหงา
ความไม่รู้ ทำให้เศร้า
ความไม่รู้ ทำให้ท้อแท้
ความไม่รู้ ทำให้สิ้นหวัง
จงกำจัดความไม่รู้ ก่อนที่ความไม่รู้จะกำจัดเรา

ความไม่รู้ ทำให้เจ็บปวด
ความไม่รู้ ทำให้รวดร้าว
ความไม่รู้ ทำให้ชิงชัง
ความไม่รู้ ทำให้ทุรนทุราย
จงกำจัดความไม่รู้ ก่อนที่ความไม่รู้จะกำจัดเรา

ความไม่รู้ ทำให้แค้นเคือง
ความไม่รู้ ทำให้เดือดดาล
ความไม่รู้ ทำให้ฟาดฟัน
ความไม่รู้ ทำให้ล้างผลาญ
จงกำจัดความไม่รู้ ก่อนที่ความไม่รู้จะกำจัดเรา

ความไม่รู้ ทำให้แตกแยก
ความไม่รู้ ทำให้เลิกรา
ความไม่รู้ ทำให้หย่าร้าง
ความไม่รู้ ทำให้อาฆาต
จงกำจัดความไม่รู้ ก่อนที่ความไม่รู้จะกำจัดเรา

ความไม่รู้ ทำให้เมามัน
ความไม่รู้ ทำให้โอ่อวด
ความไม่รู้ ทำให้เปลืองตัว
ความไม่รู้ ทำให้เปลืองตังค์
จงกำจัดความไม่รู้ ก่อนที่ความไม่รู้จะกำจัดเรา

ความไม่รู้ ทำให้เสพติด
ความไม่รู้ ทำให้ถือตัว
ความไม่รู้ ทำให้มัวเมา
ความไม่รู้ ทำให้เป็นบ้า
จงกำจัดความไม่รู้ ก่อนที่ความไม่รู้จะกำจัดเรา

ความไม่รู้ ทำให้เย่อหยิ่ง
ความไม่รู้ ทำให้เหยียดหยาม
ความไม่รู้ ทำให้เลวทราม
ความไม่รู้ ทำให้หยาบช้า
จงกำจัดความไม่รู้ ก่อนที่ความไม่รู้จะกำจัดเรา

ความไม่รู้ ทำให้ด่า
ความไม่รู้ ทำให้แช่ง
ความไม่รู้ ทำให้เกรี้ยวกราด
ความไม่รู้ ทำให้ก่อเวร
จงกำจัดความไม่รู้ ก่อนที่ความไม่รู้จะกำจัดเรา
----------------------
ถ้าท้อแท้
ถ้าท้อแท้  อยากตาย  ไม่อยากอยู่  ให้นึกถึงแม่สุนัขตัวผอมโซหนังติดโครงกระดูก  มันวิ่งพล่านหากินไปทั่ว เผื่อจะมีอะไรให้ได้แทะได้กินบ้าง  แต่วิ่งทั้งวันก็ไม่มีอะไรให้กินเลย  แต่มันก็ยังวิ่งเอานมเหี่ยว ๆ โตงเตง ๆ นั้นมาป้อนให้ลูกของมัน  นี่คือความรักของแม่ต่อลูก มันยิ่งใหญ่มาก  เราเป็นคน เราต้องคิดได้ดีกว่า และทำได้ดีกว่าแม่สุนัขตัวนั้น
--------------------

​เมื่อรู้สึกว่า ไม่มีใคร ไม่เหลือใคร อ่อนแรง หมดสิ้นกำลังใจ
บางครั้ง ในยามที่พบปัญหาร้อยแปดพันเก้าประเดประดังเข้า
ปัญหาต่าง ๆ นั้น ล้วนเป็นผลจากการการกระทำของเราเมื่อวันก่อน ๆ นั่นเอง
 
วันแล้ววันเล่า ที่ต้องเหนื่อยหน่ายกับการแก้ปัญหาที่ไม่รู้ว่า จะหมดสิ้นไปเมื่อไหร่
จึงทำให้รู้สึกว่า ชีวิตนี้ไม่มีใคร ไม่เหลือใครเลย ขาดที่เหนี่ยวเกาะ ไม่มีที่พึ่งพิง ไร้กำลังใจ จนบางครั้งรู้สึกไม่อยากมีชีวิตอยู่ ไม่อยากพบปัญหาใด ๆ อีกแล้ว ไม่อยากรับรู้อะไร ๆ ไม่อยากพบใคร  และอยากหนีไปให้พ้น ๆ  บ้างอาจรู้สึกอยากจบชีวิตลง 

นี่คือความอ่อนแอของจิต นี่คือจิตที่ขาดพลัง นี่คือจิตที่ตกอยู่ภายใต้ความรู้สึก ซึ่งนับว่า อันตรายและล้าหลังมาก ๆ 
เราอย่าเป็นทาสความรู้สึกนี้ 
-------------
จงปลุกจิตตัวเองให้กล้าแกร่งขึ้นมา เอาชนะความรู้สึก ก้าวข้ามและอยู่เหนือความรู้สึกเหงา เศร้า ท้อแท้ ไร้กำลังใจให้ได้ แล้วฝึกตัวเองทุกลมหายใจเข้าออกให้มีสติและมีปัญญาตลอดเวลา 

สติและปัญญา หมายถึง รับรู้ความเป็นจริงขณะที่กำลังสัมผัสเกี่ยวข้อง เข้าใจความจริง มองเห็นความจริง ยอมรับความจริง และลงมือแก้ไขปัญหาตามความเป็นจริง 

ไม่ต้องไปหวังกำลังใจจากใคร  เพราะแท้จริงแล้ว ไม่มีใครให้กำลังใจแก่ใครได้ จงสร้างกำลังใจขึ้นมาด้วยตัวเราเอง 


ได้เกิดมามีรูปร่างเป็นคนนี้ ถือว่ายอดเยี่ยมที่สุดแล้ว 
ได้เกิดมาเป็นคน แสดงว่า ได้ทำบุญเก่าไว้มากมายเลย

แต่ปัจจุบัน จงพิสูจน์ฝึมือตัวเองว่า 
เราอยู่ในโลกนี้ได้อย่างกล้าแกร่ง เข้มแข็ง มั่นคง
ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ทุกข์ยาก หรือขาดแคลนเพียงใด
จงใช้เป็นเวทีทดสอบและพิสูจน์พลังสติ พลังปัญญา พลังความอดทนของตัวเอง

จงปลุกใจตัวเองให้ตื่นอยู่เสมอ แม้จะรู้สึกว่า ขณะนี้ มีปัญหามากมาย เหมือนมีไฟ 10 กอง กำลังเผาไหม้ล้อมรอบตัวเราอยู่ก็ตาม 
 
ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด 
อย่าให้ความอ่อนแอมาครอบงำจิตเรา
อย่าเป็นทาสความอ่อนแอ ความท้อแท้

ฟังธรรมะปลุกใจตัวเอง ฟังซ้ำ ๆ จะมีแต่ดีกับดี
https://www.buddhisthotline.com/index.php?page=news7all
ชื่อผู้ตอบ
อาจารย์ผู้ให้คำปรึกษา 99
วันที่เขียน
17 สิงหาคม พ.ศ. 2560 18:38:36
คำตอบที่ 3
อดทน ตั้งใจดูปัญหาคนอื่น ๆ แล้วประยุกต์มาแก้ปัญหาของเรา
https://www.buddhisthotline.com/index.php?h_arti_id=&oneday=search&start=0&pagecount=1&show_arti_topic=%CB%B9%D5%E9&rt_search=1&serch_question_all.x=51&serch_question_all.y=20
ชื่อผู้ตอบ
อาจารย์ผู้ให้คำปรึกษา 99
วันที่เขียน
17 สิงหาคม พ.ศ. 2560 18:39:14
คำตอบที่ 4
ลองดูและติดต่อตรงนี้ดู บางทีอาจจะช่วยอะไรได้บ้าง http://www.debtclinicbysam.com/
ชื่อผู้ตอบ
อาจารย์ผู้ให้คำปรึกษา 99
วันที่เขียน
27 สิงหาคม พ.ศ. 2560 19:29:51
ทั้งหมด 4 รายการ
1 / 1
อ่านป้ายฉลากยา 10,000 รอบ แต่ไม่กินยา มันก็คงรักษาโรคอะไรไม่ได้
เช่นกัน แม้ว่าจะอ่านหนังสือ 10,000 เล่ม ฟังเทศน์ 10,000 เรื่อง ปรึกษาผู้รู้ 10,000 คน ประโยชน์ก็มีเพียงน้อยนิด
หากเราไม่ลงมือทำ ไม่ลงมือปฏิบัติ ไม่พยายามทำ การมัวแต่คิดอยากให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ไปเฉยๆ จะมีผลสำเร็จอะไร