ปรึกษาปัญหาชีวิต (สำหรับเจ้าของกระทู้)

สามีติดยาเสพติด
รายละเอียด
เมื่อประมาณ 1 เดือนที่ผ่านมา ดิฉัน สังเกตว่าสามี มีอาการแปลก ๆ ชอบเก็บตัวอยู่ในห้อง เป็นเวลานาน ๆ จรามรวันนึ่ง ฉันเปิดประตูห้องเข้าไปก็ได้กลิ่น ควันไฟ ก็เลยถามเค้าว่าทำอะไร เค้าก็ตอบว่า ซ่อมไฟแชก ต้องบอกก่อนนะค่ะว่า สามี ดูดบุหรี่ด้วย ดิฉันก็เอ๊ะใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่บอกว่า อะไรที่ฉันไม่ชอก ขอร้องว่าอย่าทำ หลังจากนั้น อีก ประมาณ 2 อาทิตย์ ฉันก็เริ่มค้นห้อง เพราะความละแวงในตัวเค้า แล้วสิ่งที่ฉันได้พบก็คือ ขวดพลาสติกใบเล็กที่พร้อมหลอดดูดนม ตัดปลาย ฉันก็เลยถามเค้าว่าทั้งหมดนี่คืออะไร เค้าก็ตอบว่า เค้าเป็นไซนัสจมูกต้องใช้อุปกรณ์พวกนี้เพื่อรักษา อาการ โดยการดูดควันเข้าไป ในโพรงจมูก แน่นอนฉันยังไม่เชื่อเค้า แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ได้แต่บอกว่า ฉันยังไว้ใจเค้าได้อยู่ใช้ใหม เค้าก็ตอบว่าใช่ ตั้งแต่นั้น ฉันก็พยามค้าหาทุกซอกทุกมุมของห้อง จนในที่สุด ประมาณ 1 อาทิตย์ ถัดมา ฉันพบพรอยที่เค้าใช้สำหรับดูยา ฉันจังตัดสินใจ คุยกับเค้าเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมด เค้ายอมรับว้าเค้าดูดยา จริง แต่พึ่งเริ่มได้ ประมาณ 1 เดือน แล้วเค้าขอโอกาศที่จะเลิก โดยการสัญญากับฉันว่าจะไม่ดูดมันอีก แล้วฉันฉันเก็บอุปกรณ์ทุกอย่างทิ้ง เรื่องทั้งหมดมันทำให้ฉันคิดมา จนคิดไปว่าเค้าอาจจะมีผู้หญิงอื่นด้วยก็ได้ แต่ฉันจะเชื่อใจเค้าได้อย่างไรว่าเค้าจะเลิกได้จริง หลังจากที่โดนโกหกมา ถึง 2 ครั้ง แล้วถ้าเค้าไม่ทำใน แล้วไปทำทีอืน หรือกับเพื่อนที่เคยขายให้ ฉันจะรู้ได้อย่างไรค่ะ สามีดิฉันทำงานเทศบาล ตอนกลางคืน แต่ตอนกลางวันเค้าก็ขับมอไซร์วิน ส่วนฉันทำงานบริษัทเอกชน แน่นอนเราไม่ได้เจอกันตลอด 24 ชม. จะได้เจอกันก็เวลา 2 ทุ่ม - เที่ยงคืน
ความต้องการ
จะต้องทำอย่างไรดีค่ะ ตอนนี้ฉันระแวงแลสัฐสนมากเลยค่ะ ใจนึกก็บอกว่าต้องเชื่อใจเค้า แต่อีกใจก็กลัวว่าจะโดนหลอกอีก
ชื่อผู้ถาม
เป้
วันที่เขียน
12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 15:46:06
จำนวนคนเข้าดู
2859

คำตอบ

คำตอบที่ 1
ตอบคุณเป้ครับ สำหรับการติดยาเสพติดนั้น ลึกๆล้วนมาจากปัญหาชีวิตบางอย่าง บวกกับสภาพจิตใจที่ไม่เข้มแข็งจึงหาทางออกด้วยการเสพยา ดังนั้นอาจารย์อยากให้คุณเป้ลองทบทวนตนเอง ความสัมพันธ์ภายในครอบครัวอย่างทำใจเป็นกลางที่สุด เพื่อวิเคราะห์ว่าสามีของคุณมีปัญหาภายในครอบครัวหรือไม่ ? ถ้าพบว่ามีแนวโน้มของปัญหาด้านความสัมพันธ์ ขอให้คุณเป้ทำใจให้สงบแล้วพูดคุยปรับความเข้าใจกันเพื่อการแก้ไขปัญหาให้ตรงจุด เพราะบางครั้งเราอาจเป็นต้นเหตุที่ทำให้คนใกล้ตัวเสียใจหรือหมดกำลังใจโดยที่ไม่รู้ตัวก็เป็นได้ครับ แต่ถ้ามั่นใจว่าปัญหาไม่ได้เกี่ยวกับครอบครัว ก็อาจสันนิษฐานได้ว่ามาจากที่ทำงาน หรือเรื่องอื่นใด ซึ่งสามีของคุณกำลังประสบปัญหาบางอย่างนั้นอยู่ ดังนั้น อาจารย์อยากให้คุณเป้ทำหน้าที่ของภรรยาที่ดีอย่างเต็มที่ด้วยการเข้าไปสอบถามอย่างมีศิลปะ(ไม่ถามเชิงคาดคั้นนะครับ) เพื่อให้เกิดการเล่าระบายจากสามี และคุณเป้ควรรับฟังอย่างใจเย็นพร้อมกับให้กำลังใจสามี ครับ การใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันนั้น บางครั้งย่อมเกิดการ “สงสัยและระแวง” ต่อกัน แต่ถ้ามันไม่ช่วยทำให้อะไรดีขึ้นและรังแต่จะทำร้ายชีวิตครอบครัวให้เลวร้ายลง อาจารย์จึงอยากให้ปล่อยวางมันลงก่อน แล้วเปลี่ยนมาเป็น “สงสัยและห่วงใย” แทน จะดีกว่า ซึ่งจะมีพฤติกรรมของเราที่ต่างกัน คือ “สงสัยและระแวง” ............. จะเต็มไปด้วยอาการจับผิดและคาดคั้นสามี ซึ่งไม่ได้ช่วยปัญหาที่สามีประสบอยู่(ถ้ามี)ดีขึ้น “สงสัยและห่วงใย” .............. จะมีแต่ความเป็นห่วงและถามไถ่สุขทุกข์ด้วยความเข้าอกเข้าใจสามี ซึ่งจะช่วยให้เขากลับมีกำลังใจในการสู้ชีวิตต่อได้ อาจารย์จึงอยากสนับสนุนให้คุณเป้ ให้กำลังใจสามีด้วยความรักและห่วงใย อาชีพขับมอเตอร์ไซค์และทำงานเทศบาล ที่ทำทั้งเช้า-ดึก ก็หนักเอาการอยู่ ซึ่งเขาเองก็มีข้อดีนี้อยู่ในตัว คุณเป้พยายามมองข้อดีนะครับ อย่างน้อยเขาก็ดีกว่าผู้ชายอีกหลายๆคนที่ไม่เอาการเอางาน วันๆนอนอยู่บ้านเฉยๆให้ภรรยาเลี้ยง จึงขอให้มองด้านดี เพื่อช่วยพยุงเขาในยามที่จะเริ่มเดินทางผิดนะครับ และอย่าเพิ่งเอาเรื่องมีผู้หญิงอื่นมาพัวพันหรือซ้ำเติมการระแวงเข้าไปอีกนะครับ ใจเย็นๆก่อน คุณเป้จึงควรเป็นคนแรกที่คอยให้กำลังใจสามี และเป็นคนสุดท้ายที่ตำหนิเขา คุณเป้ลองช่วยสามีตามคำแนะนำในข้างต้นดูนะครับ ความรักของครอบครัวเป็นสายใยที่เหนี่ยวแน่นที่สุดครับ และมีผลความก้าวหน้าอย่างไรแล้วอย่าลืมมาเล่าให้ฟังต่อนะครับ เป็นกำลังใจให้ครับ
ชื่อผู้ตอบ
อาจารย์ผู้ให้คำปรึกษา 399
วันที่เขียน
13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 13:47:31
คำตอบที่ 2
ขอบคุณค่ะ พระอาจารย์ โยมได้ลองคุยกับสามีของโยมแล้วตามคำแนะนำของพระอาจารย์ เค้าก็บอกว่าตัวโยมใม่ใช่สาเหตุ ของเรื่องทั้งหมด โยมดีอยู่แล้ว แต่ที่เค้าหลงผิดไปเพราะ เค้าก็แค่อยากลอง อยากรู้ ประมาณนั้น แต่เค้าก็กำลังพยายามที่จะเลิกมันอยู่ แล้วเค้าก็บอกโยมว่า ยังไม่ต้องเชื่อคำพูดของเค้าก็ได้ รอดูไปเลื่อย ๆ เค้าสัญญาว่าจะทำให้ได้ ซี่ง 3 วันที่ผ่านมาเค้าไม่ได้ออก ไปขับมอไซร์วิน เหตุผลเพราะว่า เค้าไม่อยากไปเจอกับสภาพแวดล้อม เดิม ๆ แล้วก็จะกลับไปทำผิดอีก เค้าก็เลยเลือกที่จะนอนอยู่บ้าน รอให้อาการหายดีก่อน แล้วค่อยออกไปขับรถมอไซร์ ตอนนี้เค้าทานอาหารเก่งมาก ถ้าดูจากภายนอกเค้าก็เหมือนคนปกติ ดีค่ะ แต่อาจจะมีหงุดหงิดง่ายซึ่งเค้าก็ขอให้โยมเข้าใจในเรื่องนี้ และขอให้โยมให้อภัยและไว้ใจในตัวเค้า เหมือนดังเดิม ซึ่งโยมก็รับปากกับเค้าไปแล้ว ว่า ถ้าเค้าทำได้อย่างที่พูด จริง ๆ โยมก็จะคอยช่วยเหลือเค้า แล้วจะเป็นกำลังใจให้เค้าผ่านเรื่องร้าย ๆ นี้ไปให้ได้ ที่สำคัญ เค้าเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้โยมฟัง ซึ่งมันทำให้โยมรู้สึกว่าเราไม่มีเรื่องอะไรที่ปิดบังกันอีกต่อไป แล้วตัวโยมเองก็สามารถเชื่อใจ และไว้ใจเค้าได้อีกครั้ง
ชื่อผู้ตอบ
เป้
วันที่เขียน
15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 13:14:40
ทั้งหมด 2 รายการ
1 / 1
อ่านป้ายฉลากยา 10,000 รอบ แต่ไม่กินยา มันก็คงรักษาโรคอะไรไม่ได้
เช่นกัน แม้ว่าจะอ่านหนังสือ 10,000 เล่ม ฟังเทศน์ 10,000 เรื่อง ปรึกษาผู้รู้ 10,000 คน ประโยชน์ก็มีเพียงน้อยนิด
หากเราไม่ลงมือทำ ไม่ลงมือปฏิบัติ ไม่พยายามทำ การมัวแต่คิดอยากให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ไปเฉยๆ จะมีผลสำเร็จอะไร