ปรึกษาปัญหาชีวิต (สำหรับเจ้าของกระทู้)

ไม่รู้จะทำยังไงกับชีวิต
รายละเอียด
ตอนนี้แยกทางกับแฟน แต่งงานกันตั้งแต่ปี 46 มีลูกสองคน อายุ 35ปี ไม่ได้จดทะเบียน เขามีคนอื่นปี 54 เคยเลิกกันสองครั้งแล้ว แต่ก็กลับมาอยู่ด้วยกัน ก่อนแยกทางเป็นแม่บ้านไม่ได้ทำงาน เขาให้เดือนละ 3000 บาท รู้ว่าเขามีคนอื่นทะเลากันแล้วเขาไล่ออกจากบ้าน ก็เลยออกมาหางานทำ แล้วกลับมาอยู่ด้วยกันอีก แต่เขาไม่ได้ดูแลอะไรเลย ทุกอย่างซื้อเองหมด ที่เลิกอีกเพราะว่าเขาจับได้ว่าขโมยเงินเขา ถและจะแจ้งตำรวจถ้าไม่คืนเงิน เขาถามว่าทำไมต้องทำแบบนี้ ก็ตอบไปว่าแค้นที่เขาลำเอียงรักผู้หญิงคนนั้นมากกว่า ผู้หญิงคนนั้นมีรถ นอนห้องแอร์ ช้อปห้าง เข้าสปา เสื้อผ้าแพง แต่ดิฉันต้องทำงานวันละ 300 บาท กลับมาทำงานบ้านต่ออีกไม่เคยกินของดีๆ ทะเลากันเขาไล่ออกจากบ้านเขา ดิฉันเสียใจขึ้นห้องนอนคิดสั่นผูกคอตาย แต่แม่สามีใช้ค้อนพังประตูเข้ามา แล้วตบหน้าไปสองที บอกว่ามึงจะไปตายที่ไหนก็ไปอย่ ามาตายบ้านกู ส่วนสามีบอกว่ามึงอย่ามาสร้างปัญหาให้กู ตอนนี้พักอยู่บ้านญาติยังไม่รู้จะทำยังไงกับชีวิต ไม่มีลูก ไม่มีครอบครัว
ความต้องการ
ต้องการแนวทางสำหรับชีวิต
ชื่อผู้ถาม
รัตนา
วันที่เขียน
21 ตุลาคม พ.ศ. 2556 12:09:20
จำนวนคนเข้าดู
1744

คำตอบ

คำตอบที่ 1
สวัสดีครับคุณรัตนา ก่อนอื่นต้องขอเรียนตรงๆครับว่าเป็นโชคดีมากๆๆๆ ที่คิดสั้นไม่สำเร็จครับแล้วอย่าคิดสั้นอีกละครับ จากเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น ปัจจุบันคุณรัตนา อายุ 35 ปี แต่งงานตอนปี 46 แสดงว่าแต่งงานตอนอายุประมาณ อายุ 25 ปี มีลูกสองคน คาดว่า ลูกๆอายุไม่น่าจะเกิน 10 ขวบนะครับ ลูกกำลังน่ารักเชียว ทำไมด่วนคิดสั้นละครับน่าจะอยู่ดูแลลูกก่อน การที่คุณรัตนา ตั้งคำถามว่า “ต้องการแนวทางสำหรับชีวิต” แสดงว่าคุณรัตนายังมีกำลังใจที่จะสู้ชีวิตต่อไป อาจารย์ถือว่ามาถูกทางแล้วครับ ที่ผ่านมาแล้วก็ให้แล้วกันไป สิ่งใดที่เคยทำผิดก็เก็บไว้เป็นบทเรียน หากคุณรัตนาต้องการมีชีวิตที่ดีต่อไป อาจารย์ขออนุญาตแนะนำ ดังนี้ 1.สิ่งใดที่ฝ่ายสามี แม่สามี แฟนใหม่ของสามี เคยทำไม่ดีต่อคุณรัตนาไว้ และสิ่งใดที่คุณรัตนาเคยทำไม่ดีไว้ต่อฝ่ายสามี ก็ขอให้เลิกแล้วต่อกัน อโหสิกรรมซึ่งกรรมและกันไป พระพุทธองค์ทรงสอนว่า “เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร” เมื่ออโหสิกรรมกันแล้ว จิตใจของเราจะได้เปิดรับสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต แต่ถ้าในใจยังเต็มไปด้วยความแค้น แค้นที่เขาลำเอียงรักผู้หญิงคนนั้นมากกว่า ผู้หญิงคนนั้นมีรถ นอนห้องแอร์ ช้อปห้าง เข้าสปา เสื้อผ้าแพง แต่เราต้องทำงานวันละ 300 บาท กลับมาทำงานบ้านต่ออีกไม่เคยกินของดีๆ ถ้าอารมณ์ความรู้สึกนี้ยังค้างอยู่ละก็ อาจารย์รับรองว่า ต่อให้อาจารย์นะนำอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์ ชีวิตของคุณรัตนาก็จะลุ่มๆดอนๆเดี๋ยวดีเดี๋ยวไม่ดีสลับกันไป แต่ถ้าอยากให้ชีวิตเราดีขึ้นทุกวันๆ ต้องทำใจให้อภัยกับทุกคนเป็นลำดับแรก เพื่อให้จิตใจของเราสะอาด และพร้อมต้อนรับสิ่งดีในชีวิตต่อไป 2.เมื่อสิ่งใดผ่านไปแล้ว ก็เหมือนสายน้ำที่ไหลไปแล้วย่อมไม่มีวันหวนกลับ คุณรัตนาต้องตระหนักถึงสภาพความจริงที่เกิดขึ้นกับตัวเอง หากเราทำใจยอมรับสภาพความจริงนี้ไม่ได้ก็จะไม่มีก้าวใหม่ เพราะจิตใจของเราจะหดหู่และจมอยู่กับภาพในอดีตซึ่งไม่มีประโยชน์เหมือนวิ่งไล่เงาแดดที่ไม่มีอยู่จริง 3.ให้คุณรัตนา ยืนมองตัวเองหน้ากระจก แล้วถามตัวเองอย่างจริงจังว่า “ใครจะรักตัวเรามากกว่าตัวเราเอง” “ถ้าเราไม่นับถือคุณค่าของตัวเองแล้วจะรอให้ใครมานับถือเรา” มีใครหลายๆคนบนโลก ที่ใช้ชีวิตต่อไปได้ด้วยการรอคอยความรักจากคนอื่น อยากให้มีคนอื่นรักเรา อยากให้คนอื่นดีกับเรา อยากให้คนอื่นใส่ใจเรา ฯลฯ ซึ่งถ้าดูผิวเผินแล้วเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ อย่างไรก็ตาม การหวังพึ่งกำลังใจจากภายนอก การหวังให้คนอื่นเห็นคุณค่าของเราแล้วมาทำดีกับเรานั้น เป็นการหวังที่ลมๆแล้งๆ การเอาชีวิตของเราไปผูกอยู่กับคนอื่นเป็นเรื่องที่เสี่ยงทั้งสินเพราะเราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่คนอื่นจะเลิกรักเรา เมื่อไหร่เขาจะเลิกทำดีกับเรา เมื่อไหร่เขาจะไปมีคนใหม่ที่ดีกว่าตัวเรา ชีวิตจึงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนเพราะต้องหวังพึ่งคนอื่น และประการสำคัญนั้นก็คือ เขาเหล่านั้นจะมองย้อนกลับมาดูถูกว่าตัวเราว่าเป็นคนไม่มีคุณค่าในตัวเอง ซึ่งอาจส่งผลให้เราเกิดอาการประชดชีวิต ทำเรื่องเลวร้ายเพื่อความสะใจให้เห็นดำเห็นแดงไปเลย สุดท้ายคนที่ลำบากก็คือตัวเราเอง ดังนั้น แนวทางชีวิตต่อไปของคุณรัตนานั้น ก็คือ “การนับถือตัวเองให้มากที่สุด” และ “การสร้างคุณค่าให้กับตัวเองมากที่สุด” คนเราทุกคนมีค่าด้วยกันทั้งสินครับ ขนาดช้างม้าวัวควายยังทำนาสร้างผลผลิตได้ คนตาบอดก็รู้จักสร้างงานศิลปจักสานออกมาขายได้ คนพิการไม่มีมือมีเท้ายังเอาปากหนีบพู่กันวาดรูปขายได้ ดังนั้น คุณรัตนาก็สามารถสร้างอาชีพ สร้างอนาคตที่ดีได้อย่างแน่นอนครับ ขอให้เริ่มต้นที่กำลังใจก่อนเป็นลำดับแรก คุณรัตนาอย่าลืมนึกถึงลูกน้อยทั้งสองคนนะครับ อย่างไรเสียตัวเราเป็นแม่ก็ต้องดูแลลูก แล้วลองถามตัวเองต่อไปว่า วันนี้เราพร้อมดูแลลูกๆแล้วหรือยัง ถ้ายังไม่พร้อมก็รีบทำให้พร้อมตั้งแต่ตอนนี้นะครับ อาจารย์สรุปสั้นๆครับ (๑) นับถือตัวเอง รักตัวเอง เพราะไม่มีจะรักเราเท่าตัวเราเอง (๒) หางาน หาอาชีพสุจริตที่เลี้ยงตัวเองได้ ไม่ต้องพึ่งใครมาเลี้ยงดู (๓) ขยับขยายอาชีพ โดยตั้งเป้าหมายการสร้างรายได้ต่อเดือนเท่าไหร่ ที่จะสามารถเลี้ยงดูลูกๆได้ โดยต้องเขียนตัวเลขรายได้ลงไปบนกระดาษให้ชัดเจนที่สุด เช่น ฉันจะสร้างอาชีพให้มีรายได้ 10,000 บาทต่อเดือน ให้สำเร็จภายใน 6 เดือน เป็นต้น (๔) รักษาศีล 5 สวดมนต์ไหว้ทุกวัน จะบทอะไรก็ได้ สวดเสร็จแผ่เมตตาให้กับตัวเอง ให้ลูก ให้คนที่เราเคยเคียดแค้น ให้ทุกคนมีความสุข แล้วก็หยิบกระดาษที่เขียนตัวเลขรายได้เป้าหมายมาดูทุกวันเพื่อกระตุ้นสมอง จิตใจให้มุ่งไปข้างหน้า และใช้สติในการดำเนินชีวิต ศีลจะปกป้องรักษาให้เราปลอดภัยจากสิ่งไม่ดี การสวดมนต์จะช่วยให้เรามีสมาธิให้เกิดปัญญาในการสร้างอนาคต คิดบวก สร้างชีวิตใหม่ครับ อาจารย์ขอแนะนำเพียงแค่ 3 ข้อก่อนแต่ขอให้คุณรัตนาลองนำไปพิจารณาและตั้งใจทำอย่างจริงจัง อาจารย์เชื่อแน่ว่า ชีวิตของคุณรัตนาต้องดีขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอนครับ เป็นกำลังใจให้ครับ
ชื่อผู้ตอบ
อาจารย์ผู้ให้คำปรึกษา 399
วันที่เขียน
21 ตุลาคม พ.ศ. 2556 15:43:37
ทั้งหมด 1 รายการ
1 / 1
อ่านป้ายฉลากยา 10,000 รอบ แต่ไม่กินยา มันก็คงรักษาโรคอะไรไม่ได้
เช่นกัน แม้ว่าจะอ่านหนังสือ 10,000 เล่ม ฟังเทศน์ 10,000 เรื่อง ปรึกษาผู้รู้ 10,000 คน ประโยชน์ก็มีเพียงน้อยนิด
หากเราไม่ลงมือทำ ไม่ลงมือปฏิบัติ ไม่พยายามทำ การมัวแต่คิดอยากให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ไปเฉยๆ จะมีผลสำเร็จอะไร