ปรึกษาปัญหาชีวิต (สำหรับเจ้าของกระทู้)

เรียนไม่รอดแล้ว U_U
รายละเอียด
สวัสดี พอดีมีปัญหาการเรียน เราเรียนมหาลัยมีชื่อเสียงซึ่งหลักสูตรหรือการเรียนการสอบมันยากมาก(อาจจะไม่ยากสำหรับคนอื่นแต่เรามีพื้นฐานแย่ไม่เคยตั้งใจเรียนตั้งแต่มอปลายแล้ว) และเรียนคณะที่ใครๆก็อยากให้เป็น(ทั้งคนในครอบครัว เพื่อนๆหรือคนรู้จัก) ซึ่งเราไม่ได้ตั้งสินใจเอง ก่อนที่จะเข้าเรียนมหาลัยเราไม่ได้คิดอะไรมาก ไม่คิดว่าเรียนคณะนี้ต้องเจออะไรแบบนี้ สอบติดแล้วก็เอาเลย และแล้วปี 1 มันหนักมาก กิจกรรมหนักมาก(ไม่ใช่ว่าเยอะนะ มันหนักมาก!!!) และรุ่นพี่ก็บอกอยู่คณะนี้มันต้องทนหลายอย่างนะ ทั้งแรงกดดันต่างๆ งานก็เยอะ กิจกรรมก็เยอะ บลาๆๆ.. ซึ่งตอนนั้นก็คิดแล้วละ แล้วบวกกับอะไรหลายๆอย่างที่เจอ(ด้านลบ) ตอนนั้นก็เลยปรึกษากับแม่และครอบครัวบอกว่าเราไม่ชอบคณะนี้ แต่ครอบครัวอยากให้เรียนต่อ เพราะจบไปไม่ตกงานแน่นอนและมหาลัยก็ดี ซึ่งเราคิดว่ามันไม่เห็นจะเกี่ยวเลย ทำไมต้องมองว่ามหาลัยดีเรามีชื่อเสียง ต่อไปเราก็คุยกับอาจารย์ที่ปรึกษา อ.ก็บอกว่าพึ่งอยู่ปี 1 เองยังไม่ค่อยได้เรียนวิชาคณะเลย ฟังจากรุ่นพี่เขาอาจจะบ่นเหนื่อย แต่เรายังไม่ได้เรียนไม่ได้เจอกับตัวเองเลย เราอาจจะชอบก็ได้ เราก็บอกแม่อีกว่าไม่ชอบจริงๆหลายอย่าง ซึ่งแม่ก็ไม่ยอม โอเคจบ ทุกคนยื้อไม่อยากให้ออก เราก็โอเคเป็นคนง่ายๆและตามใจตัวเอง(มากเกินไป) เราเลยเรียนๆไปแบบไม่ได้ตั้งใจอะไรสักอย่าง แต่ยังดีที่มีเพื่อนดีเราสบตกหมดทุกวิชาแต่ยังสอบแก้ได้อีกครั้ง เพื่อนๆในกลุ่มต่างเป็นห่วงเรา ทุกคนช่วยกันติวให้ พอไปสอบอีกทีก็ผ่าน ปี 1 จบไปแบบอบอุ่นเพราะมีคนรอบข้างดีทั้งเพื่อนในกลุ่ม และพี่รหัส (เรามีแค่เพื่อนในกลุ่มนะ เพราะเราเข้าหาใครไม่เป็น เพื่อนคนอื่นในคณะจะไม่ค่อยรู้จัก) ปี 2 เทอม 1 ก็เริ่มเรียนวิชาคณะขั้นพื้นฐาน ก็เฉยๆเพราะเรียนอย่างเดียว ปี 2 เทอม 2 เริ่มเรียนแบบปฏิบัติ แรกๆเราก็เฉยๆไม่ได้มีอคติอะไร แฮปปี้ด้วยซ้ำเพราะทำใจบอกตัวเองเสมอว่าเฉยๆทำไปก็ไม่ตายนี่เราได้ทำงานกับเพื่อนคนอื่น(ไม่มีเพื่อนในกลุ่มเลยเรากลัวเข้ากับเพื่อนไม่ได้) แต่โอเคเพื่อนดีมาก ด้วยความที่ฝึกหนักและไม่มีความรู้ (ไม่มีความพร้อมฝึก) เราทำได้ไม่ดี มันส่งผลให้การกระทำแย่ เจอความกดันทั้งอาจารย์และคนที่เกี่ยวข้อง และเจอคำต่อว่าต่างๆทุกวัน ^^ เรายิ้มให้กับสิ่งที่เจอยอมรับมัน แต่ในใจก็รับไม่ได้ ทุกวันหลังฝึกจะมีงานต้องไปส่งทุกเช้าและมันยากกว่าฝึกมากๆ พอถึงหอก็ร้องไห้ทุกวัน(อยู่หอคนเดียวช่วงฝึกไม่ค่อยได้เจอเพื่อนเลยไม่ได้คุยไม่มีกำลังใจ) ร้องไห้หนักมากด้วยโทรหาแม่ทุกวันแต่ไม่ได้ร้องไห้ให้ฟังหรอก(กลัวแม่เครียด) แค่อยากคุยกับใครสักคน ก็คุยเรื่องทั่วไป เล่าแต่เรื่องดีๆที่ฝึกที่เจอมา แปปเดียวแม่ก็วาง พอฝึกไปนานๆ ก็เริ่มบอกแม่ว่าเครียดบ้างแล้ว มันเหนื่อยมันหนักจริงๆ แม่ก็รับรู้ว่าเราเครียดจริงๆ แม่ก็บอกไม่อยากให้เครียด เพราะเราไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย เราเป็นคนตลกยิ้มง่ายไม่เคยเครียด หลังๆเครียดมาก เจอต่อว่าแค่ไม่กี่คำน้ำตาก็จะไหลแล้ว ตอนนี้ฝึกเสร็จแล้ว เรามาดูเกรดของเราพบว่าจะโดนนีไทร์แล้ว เราก็ได้คุยกับ อ.ที่ปรึกษาว่าเกรดเป็นแบบนี้ และอยากย้ายคณะค่ะ อ.ก็เห็นด้วยเพราะเราเคยบอก อ. ตั้งแต่ปี 1 แล้ว เราก็ไปสอบถามกะบคณะที่จะย้าวไป เขาบอกว่าย้ายได้แต่เกรดต้องถึง้กณฑ์ที่กำหนด เกรดเราไม่ถึง ตอนนี้ก็เครียดเล็กน้อย ไม่รู้จะทำยังไงต่อ เทอมนี้เกรดไม่ถึงแน่นอน มันส่งผลให้ย้ายคณะไม่ได้และเทอมหน้าก็โดนรีไทร์แล้ว
ความต้องการ
อยากได้คำแนะ พอจะมีช่องทางไหนบ้างไหม ตอนนี้คิดอะไรไม่ออกเลย อยากระบายด้วยไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง
ชื่อผู้ถาม
milli
วันที่เขียน
25 เมษายน พ.ศ. 2558 22:15:33
จำนวนคนเข้าดู
1284

คำตอบ

คำตอบที่ 1
บ่อยครั้งที่คนเราไม่ได้ทำอะไรตามสภาพจริงของตัวเอง ต้องฝืนทำตามความต้องการคนอื่น และมีลักษณะคล้ายคุณนี้
ถ้าคุณเข้าใจความจริงอีกอย่างว่า
"การมีความสามารถเรียนจบปริญญาต่าง ๆ และได้วุฒิการศึกษาต่าง ๆ นั้น ยังไม่ปลอดภัย

แต่การมีความสามารถหลีกหนีออกห่างจากอบายต่าง ๆ นั้น ปลอดภัยกว่า แม้ว่าจะไม่มีปริญญาหรือวุฒิการศึกษาใด ๆ ก็ตาม" ความคิดคุณจะเปลี่ยนไป

อบาย หมายถึงสิ่งที่ผิดศีลผิดธรรม
คุณไม่ได้ทำอะไรผิดศีลผิดธรรมเลย แค่เรียนได้เกรดน้อย หรือเกรดต่ำไม่ถึงเกณฑ์ แค่นั้น แค่ถูกขับออกจากมหาวิทยาลัย ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรเลย ธรรมดามาก ก็เราทำคะแนนไม่ถึงเกณฑ์เขา ก็ไม่แปลก

คุณควรค้นหาตัวเองของคุณ คุณมีความฝัน อยากทำอะไร เพื่อดูแลตัวเองและอนาคตได้
ถ้า Retire วันนี้ คุณก็พักไปสักระยะ ไปหาธุรกิจทำ ทำงานหาเงินด้วยตัวเองน่าจะดีกว่า
พอค้าขายมีเงินทองมาก ๆ แล้ว ค่อยมาเรียนก็ได้ ถ้าอยากได้วุฒิการศึกษานี้ แต่จริง ๆ ก็ไม่จำเป็นอะไร
ถ้าคุณมั่นใจแล้ว วุฒิการศึกษาไม่สำคัญเลย แค่อ่านออก เขียนได้ บวกลบคูณหารเป็น แค่นี้ก็เลี้ยงตัวได้แล้ว

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเรา นั่นเพราะการกระทำของเรา เราตอ้งยอมรับ
ไม่ต้องไปอายใคร ไม่ต้องไปหงอใคร มั่นคง จริงใจ ตรงไปตรงมา
คิดอ่านทำงานเป็น ค้าขายเป็น ก็รวยได้

เพื่อนเรียนดี ก้าวหน้า เราก็ดีใจกับเขาด้วย ไม่ต้องหลบหนีเพื่อน ให้เป็นปกติ อย่าคิดว่า เราด้อยกว่าเขา อย่าคิดว่า เราเท่าเทียมเขา อย่าคิดว่า เราเหนือกว่าเขา
ส่วนเราเรียนได้แค่นี้ ก็แค่นี้ ไม่ต้องเสียใจฟูมฟายมากมาย
รีบไล่ความเสียใจ ความหดหู่ ความคิดที่ว่า เรามันแย่ ออกไปเสีย

ชวนแม่ หรือลาแม่ไปอยู่วัดปฏิบัติธรรมสักระยะ หรือบวชสัก 1-3 เดือนดูสักระยะ จะดีมาก
จะเปลี่ยนชีวิตเราได้

ไปอยู่วัดศึกษาธรรมที่
http://www.buddhisthotline.com/index.php?page=frmnews3&newsid=150
หรือที่นี่
http://www.buddhisthotline.com/index.php?page=frmnews3&newsid=195
หรือที่นี่
http://www.buddhisthotline.com/index.php?page=frmnews3&newsid=186
ระหว่างที่ยังไม่ไป ฟังและฝึกตามนี้บ่อย ๆ
http://www.buddhisthotline.com/index.php?page=frmnews6&newsid=143

ดูตรงนี้ประกอบ
http://buddhisthotline.com/index.php?page=frmnews6&newsid=205

ทำไมคนจึงกลัวการเผชิญกับความจริงของชีวิต ลองอ่านดูประกอบ
--

ทำไมคนจำนวนมาก จึงคิดว่า อนาคตจะมืดมนตีบตัน เมื่อตัวเองมีวุฒิการศึกษาต่ำ ๆ ความคิดเช่นนี้เกิดขึ้นและครอบงำคนจำนวนมากในสังคม เพราะการยึดติดที่ว่า ตนเองต้องได้ทำงานดี ๆ งานเบา ๆ มีรายได้มาก ๆ งานที่ไม่ต้องใช้แรงงานแบบกรรมกร งานที่ไม่ต้องเสี่ยงภัยห้อยโหนตามตึกตามอาคาร งานที่ไม่ต้องไปคลุกลุยกับสิ่งสกปรก น้ำครำ ในขยะ อยากทำงานราชการมีหน้าตา มียศศักดิ์ หรือเป็นพนักงานบริษัทที่มีเงินเดือนดี ๆ แต่งตัวโก้ ๆ ฯลฯ การได้ทำงานแบบนี้เชื่อว่า จะช่วยให้ตัวเองมั่นใจ เมื่อกลับบ้านเกิดญาติพี่น้องได้ทราบข่าวก็จะดีใจด้วย ได้ชื่นชมยินดีว่า “คุณ.. ได้เป็นข้าราชการ เป็นเจ้าคนนายคน มีงานทำดี มีเงินดี เป็น ผอ. โน่นนี่นั่น...”
 

อันที่จริง หากปรับความคิดใหม่ว่า เราเกิดมาเป็นคน ไม่ว่าจะเรียนจบสูงจบต่ำ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เมื่อจะทำงานแล้ว ไม่ต้องไปเกรงกลัวความยากลำบาก ไม่อาย งานอะไรก็ได้ที่สุจริตไม่ผิดศีลไม่ผิดธรรมไม่ผิดกฎหมาย เราสามารถลุยทำได้ โดยไม่อายใคร ไม่สนใจคำพูดของใคร ๆ ยิ่งเรียนจบชั้นสูง ๆ เป็นบัณฑิต เราก็ยิ่งต้องพร้อมที่จะใช้แรงงานให้มากกว่าคนทั่วไป ต้องใช้ฝีมือให้มาก ต้องทำงานให้หนักมาก ออกแรงกายให้เหงื่อออกมาให้มาก ให้กำลังมือออกแรงให้มาก ให้กำลังแข้งขาออกแรงทำงานให้เต็มที่ งานอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นงานเสี่ยงภัย งานสกปรกโสโครกที่คนเขาไม่ชอบทำกัน ไม่ว่าจะเป็นงานที่ต้องทนอยู่กับความร้อนความหนาว เมื่อมันเป็นงานที่สุจริตแล้ว เราสามารถทำได้ทั้งนั้น เมื่อปรับความคิดใหม่ได้แบบนี้ อนาคตที่กลัวว่าจะตีบตันก็แทบไม่มี เพราะตัวเราเองพร้อมจะลุยทุกสถานการณ์ เราพร้อมจะทำได้ทุกงานโดยเฉพาะงานประเภทใช้แรงงาน เมื่อเราเชื่อมั่นว่า งานทุกงานที่ไม่ผิดศีลไม่ผิดธรรมไม่ผิดกฎหมายเป็นงานที่ดี ประเสริฐ มีศักดิ์ศรี และเป็นงานที่มีเกียรติไม่ยิ่งไปกว่างานอื่นแล้ว เราก็จะไม่อายใคร ไม่กระดายอาย  นี่คือความมั่นใจ นี่คือสิ่งที่จะเป็นพลังให้เราพร้อมเผชิญกับทุกความยากลำบากของชีวิตได้แบบสุดทรนง
 

ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่เข้าใจและยึดถือผิดว่า ๆ งานประภทใช้แรงงานนี้เป็นงานชั้นต่ำ จึงไม่ต้องจ่ายค่าจ้างสูง เพราะถือว่า คนทำงานแบบนี้ เรียนไม่จบสูงอะไร  ซึ่งเป็นการยึดติดที่ผิด ๆ คับแคบและไม่สร้างสรรค์ จึงพากันสร้างค่านิยมให้งานอาชีพใช้แรงงานนี้ดูต่ำต้อยไม่ทัดเทียมกับอาชีพ อื่น ๆ ทั้ง ๆ ที่ทำงานหนัก เสี่ยงภัยเสี่ยงชีวิตมากกว่า เมื่อเทียบงานประเภทใช้แรงงานกับงานประเภทแต่งตัวเท่ ผูกสูท นั่งทำงานในห้องแอร์โดยเฉพาะกับกลุ่มที่ไปทำหน้าที่ออกระเบียบกติกาสำหรับคน ทั้งประเทศแล้ว บางทีงานประเภทนั้น หากไม่สุจริตเที่ยงธรรมอาจเป็นงานที่ต่ำกว่างานประเภทใช้แรงงานนี้ก็ได้

 

ดังนั้น อย่ารังเกียจการใช้แรงงาน อย่าหวาดกลัวงานเสี่ยงภัย อย่าหลบหลีกงานสกปรกมอมแมม เราต้องมั่นใจว่า เราสามารถทำได้ทั้งนั้น ไม่ต้องไปหวั่นไหวกับเสียงซุบซิบนินทาของใคร ผลของงานคือความสำเร็จของงานนั้น ๆ ส่วนเงินค่าตอบแทนเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต่อเนื่องกันไม่ใช่เนื้องาน ไม่ใช่สิ่งที่จะเอามาวัดและประเมินค่าของคน

ชื่อผู้ตอบ
อาจารย์ผู้ให้คำปรึกษา 99
วันที่เขียน
25 เมษายน พ.ศ. 2558 23:21:55
คำตอบที่ 2
ขอบคุณค่ะ รู้สึกมีกำลังใจขึ้นมากค่ะ
ชื่อผู้ตอบ
milli
วันที่เขียน
26 เมษายน พ.ศ. 2558 09:13:33
ทั้งหมด 2 รายการ
1 / 1
อ่านป้ายฉลากยา 10,000 รอบ แต่ไม่กินยา มันก็คงรักษาโรคอะไรไม่ได้
เช่นกัน แม้ว่าจะอ่านหนังสือ 10,000 เล่ม ฟังเทศน์ 10,000 เรื่อง ปรึกษาผู้รู้ 10,000 คน ประโยชน์ก็มีเพียงน้อยนิด
หากเราไม่ลงมือทำ ไม่ลงมือปฏิบัติ ไม่พยายามทำ การมัวแต่คิดอยากให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ไปเฉยๆ จะมีผลสำเร็จอะไร