ปรึกษาปัญหาชีวิต (สำหรับเจ้าของกระทู้)

ขาดแรงจูงใจในการทำงาน
รายละเอียด
ตอนนี้หนูตั้งเป้าหมายอยากทำงานอย่างนึงให้สำเร็จ (ขอไม่ระบุแล้วกันนะคะว่าเป็นงานอะไร) แต่ทุกครั้งที่จะเริ่มทำงานนี้หนูก็จะเลือกที่จะทำอย่างอื่นก่อนเสมอ รวมถึงการเล่นอินเตอร์เน็ตด้วย โดยทิ้งงานนี้ไว้ทีหลัง คือประมาณว่า "ไม่เป็นไร เล่นนิดเดียว แต่ส่วนใหญ่ก็ยาวเลย" หนูรู้สึกว่าตัวเองไม่มีแรงกระตุ้นมากพอให้รู้สึกอยากทำงาน มากกว่าการหาความสนุกหรือความบันเทิงใส่ตัว (ทั้งที่ก็รู้อยู่ว่าหากงานไม่เสร็จ อาจจะบรรลัยก็ได้) คือหนูอยากหาวิธีการที่ทำให้เรามีแรงจูงใจในการทำงานขึ้นมา โดยเริ่มจากการปฏิบัติอ่ะค่ะ ไม่เน้นพวกทฤษฏีมากๆ เพราะบางทีก็ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง (ยกตัวอย่าง เช่น มีคนบอกว่าสร้างความกระตือรือร้นให้ตัวเอง หนูก็มองไม่ออกว่าจะเริ่มสร้างยังไงดี อย่างนี้ เป็นต้น)
ความต้องการ
อยากสร้างแรงจูงใจในการทำงาน
ชื่อผู้ถาม
เมย์
วันที่เขียน
10 มกราคม พ.ศ. 2558 21:05:26
จำนวนคนเข้าดู
1389

คำตอบ

คำตอบที่ 1
เราเข้าใกล้ความสำเร็จอยู่แล้ว เพราะเป็ฯคนที่รู้จักตั้งเป้าหมายในชีวิต นั่นเป็นการเริ่มต้นที่ดี แรงบันดาลใจคิดว่าก็คงมีอยู่แล้วตั้งแต่ตอนตั้งเป้าหมาย ที่มีมากและผิดเวลาไปหน่อย น่าจะเป็นกิเลส และความอดทนนั่นเอง เมื่อรเารู้ว่าเราทำงานหนัก หรือเหนื่อยเมื่อไหร่ เราไม่ผิดที่จะให้รางวัลตัวเอง ลองทำตามขั้นตอนดังนี้

1. นั่งฝัน วาดวิมานว่าอยากได้ชีวิตยังไง 
2. ยิ้มหวานให้ภาพฝันนั้น
3. จับปากกาเขียนเป้าหมายเลย  เป้าหมาย มี 3 ประเภท คือ1. เป้าหมายใหญ่ คือเป้าหมายที่เป็นภาพรวมของชีวิตที่เราอยากให้เป็น เช่น ชั้นจะต้องมีสุขภาพดีมีหน้ามีตาในสังคม ร่ำรวย 2. เป้าหมายย่อย คือ เป้าหมายที่จะทำให้ได้ถึงเป้าหมายใหญ่ เช่น ถ้าอยากสุขภาพดี ก็ต้องได้ที่ทำงานที่มีสวัสดิการดีๆ หรือต้องมีเงินเหลืออย่างน้อย 3000 เพื่อไปตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอได้ 3. เป้าหมายในกระบวณการ คือ เป้าหมายขั้นตอนในแต่ละขั้นตอนการปฏิบัติ เช่น ถ้าชั้นจะหาเงิน 3000 นั้น ชั้นต้องทำงานนิ้นนี้โดย 1) ไปหาลูกค้าเพิ่ม 2 ) หาลูกค้าให้ได้ 3 ราย 3) ทำงานให้เร็วขึ้นจาก 7 วันเป็น 3 วัน เพื่อเหลือเวลาในการวิ่งหาลูกค้าอื่นๆ 4) ใช้เวลาสำหรับการนั่งวางแผนงานในอนาคตหากรายได้ปัจจุบันซบเซา ** จงอย่าลืมกำหนดระยะเวลาที่ขั้นตอนแต่ละงานต้องเสร็จไว้ด้วย เพื่อกำหนดขอบเขต ในการเหลวไหล
4. ข้อนี้สำคัญที่สุด มันคือขนมหวาน คือสิ่งที่เรารอคอยจะได้มัน เหมือนๆกับผลสำฤทธิ์ของเป้าหมายที่ตั้งไว้ล่ะ สิ่งนี้เรียกว่า " รางวัลคนเก่ง" ถึงโตแล้วเราก็มีสิทธิ์จะได้มัน ให้เกาะติด เป้าหมาย ประเภทที่ 3 ไว้ ถ้าหากเราชอบและติดเน๊ตจริงๆ ให้มองเป้าหมายประเภทที่ 3 ไว้ก่อน ตั้งใจสัญญากับตัวเองว่า เมื่อเสร็จแต่ละขั้นตอนแล้วจะให้รางวัลตัวเองด้วยการเล่นเน๊ต ทำอย่างนี้จนครบทุกขั้นตอนและงานเสร็จลง ทำวนๆ 

ฝึกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งวันนึงเราจะเพลินกับงานจนล่วงเลยไปจนหมด 2-3 ขั้นตอนโดยไม่แวะมาเล่นเลย เราก็จะพัฒนาตนไปจน เกาะเป้าหมายย่อย หรือเป้าหมายที่สูงขึ้นๆ 

นอกจากนี้สามารถหาหนังสือที่สร้างแรงบันดาลใจมาอ่านเพิ่มความรู็ได้ เช่นหนังสือของคุณสมคิด ลวางกูล หรือ คุณวิกรม กรมดิษฐ์ ทั้งนี้ ทั้งหมดทั้งมวลอยู่ที่ตัวเราสำคัญที่สุด ต้องอดทน และมุ่งมั่นให้มาก การฝึกกำหนดลมหายใจฝึกสมาธิก็ช่วยได้มาก อาจเป็นเพราะเราไม่มีสมาธิพอกับกิจกรรมใดๆที่เป็นประโยชน์ เลยพยายามหาสิ่งยึดเหนี่ยวอื่น ลองหาที่สงบๆ และเสพย์ความสงบนั้นเต็มที่จนทราบว่า ความสงบนั้นต่างหากที่เรียกสุขที่แท้จริง มิใช่สนุกเป็ฯครั้งคราวและมีโทษเช่น เทคโนโลยีที่ทันสมัยที่ยั่วยวนเรา
ชื่อผู้ตอบ
อาจารย์ผู้ให้คำปรึกษา 299
วันที่เขียน
10 มกราคม พ.ศ. 2558 21:59:15
คำตอบที่ 2
ขอบคุณมากนะคะ เป็นประโยชน์มากๆ เลยค่ะ ทำให้นึกภาพออกเลยว่าควรจะทำอย่างไร จะเริ่มต้นยังไงดี เข้าใจเลยว่าการลำดับความสำคัญ มีผลมากๆๆ เคยคิดเหมือนกันนะคะว่า ทำงานก่อนแล้วค่อยให้รางวัลตัวเอง แต่ความต้องการก็มักจะหาเงื่อนไขมาแย้งตลอด จนบางครั้งก็เผลอทานขนมหวานจนลืมเป้าหมายที่ตั้งไว้ สงสัยงานนี้คงต้องวางขนมหวานไว้ก่อนแล้วค่ะ ** ขอถามอีกเรื่องนะคะ เกี่ยวกับการฝึกสมาธิอ่ะค่ะ ถ้าจะเริ่มฝึกควรจะเริ่มฝึกยังไงดีคะ คืออยากฝึกให้เป็นนิสัยอ่ะค่ะ ^__^
ชื่อผู้ตอบ
เมย์
วันที่เขียน
10 มกราคม พ.ศ. 2558 23:14:14
คำตอบที่ 3
โดยทั่วไปหนุ่มสาววัยรุ่นอาจจะไม่สะดวกและหาเวลาไปวัดไปวาลำบาก สมาธิหรือความสงบอาจจะหาได้ในวัดก็จริง แต่ใช่ว่าที่อื่นๆจะไม่มี จะสงบไม่สงบขึ้นอยู่กับใจเราตัวเราทั้งนั้น 

อย่างที่ว่าการกำหนดลมหายใจก็สามารถทำให้เกิดสมาธิ หรือปัญญาได้ ลองสังเกตุเวลาเราจดจ่อกับอะไรสักอย่าง เหมือนเราเล่นเน็ตนั่นแหละ ลองสังเกตุใจเราดูว่าทำไมเราถึงมีสมาธิกับมันนัก เพราะเรามีความสนใจ ในเนื้อหาที่อยู่ตรงหน้า มันทำให้เพลิดเพลินไม่มีที่สิ้นสุด แต่สมาธิเช่นนี้ ก็อาจทำให้เกิดโทษได้ เพราะถ้าเราจดจ่อมากไป เช่น ถ้าเราไม่ได้ค้นคว้าหาความรู้อะไรที่สามารถนำมาใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน นั่งหลังขดหลังแข็งอยู่หน้าจอ ทั้งเสียตาทั้งปวดหลัง แถมเพลินจนไม่หลับไม่นอน ร่างกายก็ย่ำแย่ไป 

หาประโยชน์จากการฝึกสมาธิ ว่าเราอยากได้อะไร เคยสังเกตุจังหวะการเต้นของหัวใจตนเองหรือเปล่า การที่หัวใจเต้นเป็นจังหวะไม่สม่ำเสมอย่อมบั่นทอนสุขภาพ มันเกิดจากกิเลสสิ่งยั่วยุมากมายที่เข้ามาก่อกวนเรา เช่น สิ่งยั่วยุต่างๆ คำพูดของคนที่กระทบต่อความคิดและจิตใจ รักโลภโกรธหลง 

สมาธิเกิดง่ายที่ปลายจมูก ฝึกสมาธิไม่จำเป็นต้องหลับตา แต่ที่ควรหลับตาเพราะเพื่อปิดกั้นประตูหรือช่องทางที่กิเลสจะแผลงฤทธิ์ แสดงละครล่อหลอกให้เราหลงใหล วิ่งตามมันไป แรกๆจึงควรหลับตา กำหนดลมหายใจเข้าออกนั่งในท่าที่สบาย ย้ำว่าเอาที่สบาย หลับตาแล้วสังเกตุตัวเองทุกส่วน บอกตัวเองว่าฉันกำลังจะทำในสิ่งที่เป็นอาหารของจิตใจอย่างแท้จริง ฉันทำสิ่งนี้เพื่อความสุขที่แท้จริง ฉันมีเป้าหมายเพื่อหันมาใส่ใจสิ่งที่สำคัญกับฉันมากจริงๆนั่นคือร่างกายและจิตใจของฉัน ที่มันอยู่กับฉันมาตั้งแต่เกิด แต่ฉันดันไปหลงใหลอะไรรอบตัว ขณะกำหนดลมหายเข้าออก ไม่ต้องสนใจว่าลมนั้นจะเข้าไปลึกแค่ไหน ไม่ต้องตามลมหายใจที่ออกมาว่ามากน้อยเพียงใด วัดที่ความรู้สึกที่ปลายจมูกว่า นี่เข้าละนะ ที่ออกละนะ พร้อมๆกับ ไล่ความสนใจในสังขารไปทีละส่วน ร่างกายมีเจ็บปวดตรงไหน หายใจเป็นยังไง มือเท้า วางอยู่ยังไง เรานั่งอยู่ในสภาพเช่นไร เพื่อให้เกิดสติ สติคือการรู้ตัวตน รู้ตนเอง เมื่อยก็มีสิทธิ์เปลี่ยนอิริยาบถ ไม่ผิดถ้าเราจะขยับขยาย อย่าทรมานตนเอง เพียงแค่ให้รู้ว่าเราปวด เราเมื่อยก็พอ 

นอกจากนี้ การทำงานหรือกิจกรรมที่มีขั้นตอนชัดเจนก็จะช่วยให้เราฝึกสมาธิได้เช่นกัน เพราะจะจดจ่อทำแต่ละขั้นตอนจนเสร็จ โดยไม่รีบร้อน ค่อยๆทำด้วยสติ ระลึกว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ และจะทำอะไรต่อไป เช่น ฉันนั่นพิมพ์เอกสารชุดนี้ อีกแค่ 2 หน้าก็จะเสร็จ เสร็จแล้วก็จะได้เอาไปให้นายเซนต์ ก็ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว 

ลองฝึกไปทีละนิด และหมั่นยิ้มให้ตัวเอง ทำจิตใจให้สงบๆ เราเป็นคนใจดี มีเมตตา ไม่โกรธ ไม่เบียดเบียนตัวเองคนอื่น ผลที่ได้คือ หน้าตาผ่องใส่มีความสุข สุขภาพดีอายุยืน มีมิตรดีๆเข้ามาในชีวิต และมีทางออกให้ตัวเองเสมอ 

ลองกูนะ อย่าลืมว่าตัวเองทำอะไรอยู่หรือกำลังทำร้ายตัวเองหรือใครอยู่หรือเปล่า อะไรที่มากไปก็ลดลง ไม่ต้องกดดันตัวเองมากไป สมดุลในชีวิตจะเสีย 
ชื่อผู้ตอบ
อาจารย์ผู้ให้คำปรึกษา 299
วันที่เขียน
13 มกราคม พ.ศ. 2558 19:03:51
ทั้งหมด 3 รายการ
1 / 1
อ่านป้ายฉลากยา 10,000 รอบ แต่ไม่กินยา มันก็คงรักษาโรคอะไรไม่ได้
เช่นกัน แม้ว่าจะอ่านหนังสือ 10,000 เล่ม ฟังเทศน์ 10,000 เรื่อง ปรึกษาผู้รู้ 10,000 คน ประโยชน์ก็มีเพียงน้อยนิด
หากเราไม่ลงมือทำ ไม่ลงมือปฏิบัติ ไม่พยายามทำ การมัวแต่คิดอยากให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ไปเฉยๆ จะมีผลสำเร็จอะไร