ปรึกษาปัญหาชีวิต (สำหรับเจ้าของกระทู้)

รู้สึกหลงทางในการดำเนินชีวิตคะ เข้ากับสังคมไม่ได้
รายละเอียด
โยมคิดว่าปัญหาชีวิตเริ่มขึ้นตอนเด็กๆค่ะ มีอยู่ 4 ช่วงชีวิตคะ ยาวหน่อยนะคะ ตอนเด็กๆ เกิดมา(ลูกคนเดียว)คุณแม่โยมเล่าว่า โยมเป็นเด็กที่นิ่งมาก เฉยมากๆ ไม่หือไม่อือ อะไรเลยค่ะ ที่บ้านฐานะไม่ดีค่ะ คุณแม่หาเงินเก่ง รับผิดชอบทุกอย่างในบ้าน ส่วนคุณพ่อติดการพนันมากค่ะ เลยทำให้ภาระทุกอย่างตกที่คุณแม่ ตอนเด็กเคยจำได้ว่าอยากได้ตุ๊กตามาเล่น คุณแม่รักโยมมากอยากตามใจค่ะ เลยซื้อให้ แต่รู้สึกได้เลยว่าเขาก็ลำบากเจียดเงินมาซื้อ พอครั้งต่อไปอยากได้แค่ไหนก็ไม่กล้าขอค่ะเพราะเราแคร์เขา ตอนประถมโรงเรียนจัดทัศนศึกษาไปค่อนข้างไกลเสียเงินด้วย ด้วยความที่เราเห็นเพื่อนส่วนใหญ่ไปเราก็อยากไปบ้าง เลยกลับบ้านมาขอคะ พ่อแม่ไม่อณุญาตบอกว่าอันตรายค่าใช้จ่ายแพง โยมเลยไม่ได้ไปคะ จำได้ว่าตั้งแต่อนุบาล-ประถม เพื่อนมีอะไรเราไม่เคยมีเหมือนเขาเลยค่ะ แตกต่างตลอด บางครั้งก็รู้สึกอายรู้สึกแปลกแยก เพื่อนเล่นก็เล่นกับเขาไปทั่วค่ะ สนิทกับใครได้ไม่นาน แล้วก็เป็นเด็กชอบพูดโกหก แต่ขี้ขโมยค่ะ บางวันก็เรียกร้องความสนใจโดยการเอาของที่บ้าน(ไม่บอกคุณพ่อคุณแม่)พกใส่กระเป๋า ไปเล่นเกมจับฉลากแจกเพื่อนๆ ที่โรงเรียนค่ะ (มาคิดตอนนี้ก็เศร้าและรู้สึกผิดต่อพ่อแม่มาก)เพราะเป็นเด็กที่ไม่มีอะไรน่าสนใจซักอย่าง ไม่มีประสบการณ์เที่ยวดีๆ ของใช้ดีๆ หรือความสามารถอะไร ที่มันน่าสนใจมาคุยหรือโชว์กับเพื่อนเลยคะ แล้วสังคมที่บ้านก็มีแต่เพื่อนคุณพ่อคุณแม่ค่ะ ไม่มีรุ่นเดียวกัน โยมก็ไปไหนส่วนมากก็ไปกับผู้ใหญ่ ถูกผู้ใหญ่ดูแลมาเยอะ พอโตมาต้องขึ้นมัธยมค่ะ โยมวาสนาดี ได้รับสิทธิ์ของคุณพ่อไปเรียนโรงเรียนเอกชนที่มีชื่อเสียง ถ้าไม่เก่งมาก ก็รวยค่ะถึงเรียนได้ (แต่โยมเรียนไม่เก่งหรอกนะคะ) สังคมที่นั่นค่อนข้างวัตถุนิยมคะ โยมรู้สึกไม่มีอะไรจะไปเทียบเขา รู้สึกอายลึกๆในใจค่ะ แต่รับได้ แต่ก็มีบางช่วงที่ไม่ไหวค่ะ เคยโกหกหลอกเงินคุณแม่อ้างว่าเรียนพิเศษบ้าง หรือขโมยเงินเป็นหมื่นเลยก็มี เพื่อนที่โยมจะไปไหนมาไหนซื้อของกินของใช้ร่วมกับเพื่อนๆได้บ้าง เพื่อนที่อยู่โรงเรียนเดิมก็มาเรียนด้วยประมาณ 10 คนคะ เลยคบกับเป็นกลุ่มใหญ่ ด้วยโยมที่ไม่มีอะไรที่จะร่วมสนุกหรือเข้ากับเพื่อนได้คะ โยมเลยทำไรที่พอทำได้คือการเป็นเพื่อนที่ดีคะโดยการเทคแคร์พวกเขาเสมอ แต่ด้วยความเป็นคนคุยไม่เก่งแสดงความรู้สึกไม่เก่งค่ะ เลยได้แค่การกระทำเป็นส่วนใหญ่ แต่ไปๆมาๆ เพื่อนดันไม่เห็นหัวเราคะ ทำตัวเหมือนเราเป็นคนใช้ บางครั้งก็ไม่ได้แคร์เลยว่าโยมจะรู้สึกยังไง ชอบโดนพูดสกัด พูดดูถูก พูดจาไม่ให้เกียรติเลยคะ ตอนนั้นโตมากับแบบนี้ เลยไม่ทราบเลยคะว่าโยมกำลังคบเพื่อนแบบไหน โยมคิดแต่ว่าคบเพราะคบกันมานาน เป็นคนที่โยมสนิทที่สุด บวกกับโยมเป็นคนที่ตรงค่ะ ชอบพูดตรงๆ ไม่ค่อยแคร์ความรู้สึกคนฟัง เพราะโยมคิดว่าความจริงคือสิ่งที่ถูกต้องและดีที่สุด แล้วจุดแตกหักก็มาถึงค่ะ ม.5 โยมถูกเพื่อนทั้งห้องแบนไป 1 ปีกว่าๆ ทุกข์มาก เพราะไม่มีใครบอกว่าเรื่องอะไร กว่าจะรู้ก็ตอน ม.6 คะ ซึ่งเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันไปเองคะ แล้วไม่ยอมมาถามโยมคะ แต่ความรู้สึกที่เสียไปตอนนั้นมันไม่กลับมาแล้วคะ ความทรงจำดีๆช่วงเรียนมัธยมเลยหายไปเลยคะ นึกความรู้สึกหรือความทรงจำนั้นไม่ออกเลย เป็นแค่ช่วงโหว่ๆที่ไม่มีอะไร จากประสบการณ์นั้น พอขึ้นมหาลัยเลยระวังความรู้สึกตัวเอง ไม่ทุ่มใจเต็มร้อยให้เพื่อนค่ะ แฟนก็เรียนคณะเดียวกันคะ เลยกลายเป็นว่าคนที่เป็นเพื่อนที่สนิทจริงๆคือแฟน โยมรับไม่ได้กับการเป็นคนไม่เอาไหนค่ะ บวกกับความผิดที่เคยทำกับพ่อ แม่ ที่ทำให้ท่านลำบากในการเลี้ยงดูเรา เลยคิดว่าไหนๆก็ได้เลือกเรียนในสิ่งที่ตัวเองชอบ เราต้องกลายเป็นคนที่พ่อแม่ภูมิใจให้ได้ และเพื่อที่จะแสดงให้เพื่อนๆพวกนั้น ต้องยอมรับและเสียใจในการกระทำของพวกเขา โยมแก้หมดเลยค่ะ กลายเป็นคนที่มั่นใจ บุคลิกดี แต่งตัวดีถูกกาละเทศะ คิดดี พูดดี นึกไว้เสมอว่าเราต้องเป็นคนที่ดี ไม่เคยพูดโกหกเลยคะ การเรียนก็ดีขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นหัวหน้าห้อง เป็นที่พึ่งของอาจารย์ ทุกคนในคณะชื่นชมคะ แต่ด้วยความเป็นหัวหน้า แต่ไม่มีเพื่อนสนิท ปีสุดท้ายของการเรียนก็ด่าเพื่อนทั้งห้องโดยรวมไปคะเพราะเพื่อนไม่เห็นความสำคัญกับงานส่วนรวม โยมก็เป็นคนพูดตรงๆ แต่นิ่งๆคะ ผลคือเพื่อนเข้าหน้าไม่ติด จนเรียนจบ พอเริ่มทำงานค่ะ โยมเข้ามาทำงานอยู่ตัวคนเดียวในกรุงเทพ ค่อนข้างเครียด เพราะกังวลด้านความปลอดภัย และเหงาไม่กล้าออกไปไหนสุ่มสี่สุ่มหา้ด้วยค่ะ เพื่อนๆพี่ๆที่ทำงานรู้สึกว่าโยมมีความคิดที่ไม่เหมือนเขา ที่นี่เขาวัตถุนิยม ชอบวิจารณ์การแต่งตัว ชอบตัดสินโยมตามมาตรฐานตัวเอง พวกเขาช่างฉอเลาะ เอาตัวรอดเก่ง แต่เขาบอกว่าโยมพูดตรงไป เขาพูดอ้อมๆให้คิดค่ะ คือในที่ทำงานคือพูดจาอ้อมค้อมกันหมด เพราะแคร์ความรู้สึกกันมั้ง แต่โยมพยายามพูดให้ได้เหมือนเขาแล้วค่ะ ก็ทำไม่ได้ บางครั้งฟังดูแย่ยิ่งกว่าเดิม และรู้สึกว่าไม่ถูกต้องเลยที่จะมายิ้มต่อหน้าแล้วพูดเหมือนไม่ได้คิดอะไร ทำไมทุกคนต้องเป็นแบบนี้กันด้วย มันรู้สึกอยู่ยากเพราะหาความจริงใจไม่เจอเลย แล้วยังชอบพูดจาเชิงเหยียดคนเช่น แต่งตัวดูแย่ ดูจน ดูรวย ความคิดดูโง่ ดูฉลาด ซึ่งโยมฟังแล้วไม่ชอบเลย(ถึงเขาจะก็มีข้อดีของเขาบ้าง)บางวันอยากจะเดินหนีเพราะได้ยินแล้วมันหงุดหงิด โยมพยายามที่จะเฟรนลี่กับพวกเขา แต่เข้ากันยาก เพราะคุยกันทีไรพวกเขาก็จะชอบพูดในสิ่งที่โยมทนฟังไม่ได้ บางครั้งโยมก็ฝืนเพื่อให้คุยกับเขาได้แต่ก็รู้สึกรังเกียจตัวเอง ในใจต่อต้านตลอดว่าไม่ใช่แบบนี้ หลังๆโยมเลยเลี่ยงไม่เข้าร่วมวงสนทนาเลย เขาหาว่าโยมเป็นคนจริงจังไป แต่โยมแค่อยากใช้ชีวิตให้ถูกต้อง เพราะโยมเห็นแล้วว่าเขาใช้ชีวิตสนุกเกินไป มันไม่ใช่ตัวตนในสิ่งที่โยมอยากจะเป็นแบบเขา แล้วโยมก็ไม่สามารถไว้ใจใครได้อีกแล้วเพราะเหมือนมีปมในอดีต ที่รับแต่เรื่องผิดหวัง สะเทือนใจ ไม่เคยมีในสิ่งที่ต้องการ รู้สึกแตกต่างจากคนอื่นๆ เลยทำให้ไม่ยึดติดกับอะไรหลายๆอย่าง (ผู้หญิงที่เฉยๆกับตุ๊กตา ไม่เคยรู้สึกพิเศษกับวันเกิดตัวเอง หรือวันเกิดใครๆ ไม่เข้าใจความรู้สึกอะไรหลายๆอย่างที่คนส่วนใหญ่รู้สึก)คนภายนอกเลยมองว่าโยมเป็นคนไม่สนไม่แคร์โลก และเป็นคนที่คิดแปลกๆ ไปไหนก็ไปคนเดียว ไม่เคยง้อให้ใครไปด้วย นอกจากเขาจะบังเอิญอยากไปด้วยพอดี หรือเวลาพวกเขาปรึกษาปัญหาชีวิตกัน บ่อยครั้งที่โยมจะให้คำปรึกษาที่คนเขารับไม่ได้ เช่น ปล่อยวางเถอะ เขาไม่เห็นความสำคัญของความรักเราถึงยื้อไปยังไงสุดท้ายก็เลิกกัน ถ้าคิดในแง่เขาพี่ก็ผิดนะลองคิดกลับกันสิ หรือมีคนมาปรึกษาเรื่องงานกับความรักซึ่งไม่มีทางออก ที่จริงมีแต่เขาทำไม่ได้ โยมก็จะบอกว่าอยู่อยากขนาดนั้นพี่ลาออกเหอะ ทำกิจการของที่บ้านสบายใจกว่า พี่เขาก้อึ้งๆไป แล้วตัวโยมเองก็ทะเลาะกับแฟนบ่อย เพราะแฟนชอบถามถึงเรื่องอนาคตว่าจะรักกันตลอดไปมั้ย โยมก็ชอบตามประมาณว่า อะไรมันก็เกิดขึ้นได้ ความว่าตลอดไปมันเป็นสิ่งไม่แน่นอนหรอก พอเขาฟังก็โกรธ แล้วบอกว่าผีเจาะปากมาพูด คิดบ้าอะไรอยู่ ใครมาฟังจะไม่เสียใจ เอาสมองส่วนไหนคิดบ้าง
ความต้องการ
โยมเลยมานั่งคิดว่า ทำไมการใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นๆ ถึงยากจังค่ะ โยมไม่เข้าใจว่าโยมจะต้องทำตัวยังไงเพื่อให้เป็นที่ยอมรับของคนอื่น ทำไมคนเราถึงไม่ชอบรับความจริงไม่ได้ โยมก็อยากพูดในสิ่งที่เขาอยากได้ยินนะคะ แต่ใจลึกๆมันไม่อยากทำ มันรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ไม่จริง เรากำลังสร้างโลกที่สวยงามเพื่อหลอกเขา ถ้าโยมเป็นแบบนี้ต่อไป โยมจะมีคนยินดีที่จะคบมั้ยค่ะ หรือโยมต้องเปลี่ยน เคยลองเปลี่ยนแล้วนะคะ แต่ข้างในมันเสียใจตลอดเลย มันฟ้องดังมากว่าไม่ถูกๆ เราไม่อยากหลอกเขา หาคนที่เข้าใจยากจริงๆค่ะ จนตอนนี้้ก็ยังไม่มี รู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยวเหลือเกิน ไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวยังไงแบบไหนที่จะอยู่กับคนอื่นได้และไม่เสียความเป็นตัวเอง หรือเป็นตัวโยมที่นิสัยแย่เอง หาคำตอบชีวิตไม่ได้เลยคะ ไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดหรือทำถูกกันแน่
ชื่อผู้ถาม
ฺbenz
วันที่เขียน
30 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 05:08:03
จำนวนคนเข้าดู
2107

คำตอบ

คำตอบที่ 1
1. จริงล่ะ การมีชีวิตอยู่ร่วมกับคนอื่น ๆ ยาก แต่การอยู่คนเดียวได้นี่สิ ยากกว่า
ถ้าจะทำตัวให้เหมือนเขาไปทั้งหมด เราก็ต้องปรับทุกอย่าง ซึ่งจริง ๆ บางอย่างมันไปได้ไม่นานหรอก 

2. การที่เขายอมรับไม่ได้หมายความว่า เขาจะจริงใจกับเราตลอด บางคนยอมรับเรื่องงาน เรื่องน้ำใจ 

3. การพูด เราไม่พูดโกหก เราไม่พูดคำด่า เราไม่พูดที่เสียดแทงเจ็บปวดเขา เราไม่พูดคำที่ทำให้คนแตกแยกทะเลาะกัน แบบนี้ใช้ได้ ดังนั้น ระมัดระวังทุกวินาทีก่อนจะหลุดคำพูดออกมา เพราะแม้เราจะว่าเราเจตนาดี เราจริงใจ แต่บางทีมันก็เสียดแทงให้เขาเจ็บใจลึก ๆ  ซึ่งการพูด ก็ทำให้เป็นบาปได้เหมือนกัน ถ้าเราพูดให้กำลังใจเขา ให้ลุย ให้สุ้ บอกทางเลือกหลาย ๆ ทาง ข้อดีของแต่ละทาง แล้วเขาต้องเลือกเอง ไม่ใช่ให้เราชี้บอกให้ แบบนี้ก็โอเค

4. สำหรับบางคน จะมีความสุขเมื่อมีเพื่อน มีคนคบ แต่สำหรับบางคน แม้อยู่คนเดียวก็มีความสุขได้  จะมีคนยอมรับ ไม่ยอมรับเรา เราก็อยู่ได้ และมีความสุขได้
วิธีมีความสุขแบบคนเดียว ด้วยตัวเอง ลองฝึกฟังและฝึกปฏิบัติตามนี้
http://www.buddhisthotline.com/index.php?page=frmnews6&newsid=143 

5. ไม่มีใครแย่ไปทุกอย่าง ประสบการณ์ในอดีตไม่ว่าจะเลวร้าย ผิดหวัง สมหวัง ดูดี เลิศ หรือแย่ ก็จบไปแล้ว อย่าไปติดกับมัน การที่เรามองออกว่าอะไรเป็นอะไร ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น นี่ดีมากแล้ว แสดงว่า เราฉลาดพอควร

เราคบกับใครได้ทุกคน เมื่อเราไม่หวังผลประโยชน์อะไรจากเขา
เราพูดตรงได้ แต่ก็ต้องเลือกจังหวะเวลา ถ้าไม่มีประโยชน์ แม้จะจริง ก็ไม่ต้องพูด
หรือถ้าต้องทำให้โกหก ก็ไม่พูดไปเสียเลย ก็ยังได้ หรือบอกว่าไม่มีความคิดเห็น ก็ได้


6. ชีวิตมนุษย์ทุกคน โดดเดี่ยวทั้งนั้น ไม่มีใครไม่โดดเดี่ยว หลายคนมีเพื่อนมากมาย มีแฟนที่น่ารัก แต่ในใจลึก ๆ ก็ยังรู้สึกขาดอะไรบางอย่างอยู่ดี  ไม่ต้องแสวงหาใคร แสวงหาตัวเองดีกว่า
ฟังและฝึกตาม Link ข้างบนทุก ๆ วัน ฝึกต่อเนื่องไป6 เดือน

7. จัดสรรเวลา แล้วไปศึกษาธรรมะที่นี่สักระยะก็ดี
http://www.buddhisthotline.com/index.php?page=frmnews3&newsid=150 

หรือที่นี่  http://www.buddhisthotline.com/index.php?page=frmnews3&newsid=186

หรือที่นี่ http://3pidok.com/main.php?url=news_view&id=19&cat=C

8. บางที เราอาจไม่เหมาะที่จะมาทำงานในฐานะแบบนี้ เราอาจเหมาะที่จะทำกิจการของตัวเอง ก็ได้ 
ดังนั้น เตรียมการ เตรียมทุนไปทำอะไรของตัวเอง อาจมีความสุขมากกว่า

ดูแล จัดการชีวิตเราให้ดีนั่น ดีแล้ว ส่วนชีวิตคนอื่น ๆ เขาก็ต้องจัดการเอง 
ไม่ต้องมากังวลเรืองแบบนี้
ชื่อผู้ตอบ
อาจารย์ผู้ให้คำปรึกษา 99
วันที่เขียน
30 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 10:14:52
คำตอบที่ 2
จะลองทำตามดูคะ ขอบพระคุณมากคะที่ให้แนวทาง
ชื่อผู้ตอบ
ฺbenz
วันที่เขียน
1 สิงหาคม พ.ศ. 2557 00:32:05
ทั้งหมด 2 รายการ
1 / 1
อ่านป้ายฉลากยา 10,000 รอบ แต่ไม่กินยา มันก็คงรักษาโรคอะไรไม่ได้
เช่นกัน แม้ว่าจะอ่านหนังสือ 10,000 เล่ม ฟังเทศน์ 10,000 เรื่อง ปรึกษาผู้รู้ 10,000 คน ประโยชน์ก็มีเพียงน้อยนิด
หากเราไม่ลงมือทำ ไม่ลงมือปฏิบัติ ไม่พยายามทำ การมัวแต่คิดอยากให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ไปเฉยๆ จะมีผลสำเร็จอะไร