ปรึกษาปัญหาชีวิต (สำหรับเจ้าของกระทู้)

ปัญหาชีวิตรัก 3 คน
รายละเอียด
ดิฉันแต่งงานกับสามีมา 4 ปี สามีเป็นคนชอบโกหก และทำบ่อยมากแม้กระทั่งเรื่องเล็ก ๆ สาเหตุนี้จึงทำให้ดิฉันคัดสินใจแยกกันอยู่เพื่อดัดนิสัยเค้า โดยการกลับไปอยู่บ้านตัวเองที่ต่างจังหวัด 1 ปี หลังจากนั้นเค้าก็ขอร้องให้กลับมาอยู่ด้วยกัน ประกิบกับดิฉันมีปัญหากับที่ทำงาน จึงลาออกและย้ายมาอยู่ด้วยกัน ระหว่างอยู่ด้วยกันประมาณ 3 เดือน เค้าก็บอกว่ามีเรื่องจะสารภาพ ซึ่งเค้าบอกว่ารู้สึกผิด เค้าบอกว่าระหว่างที่ไม่ๆด้อยู่ด้วยกัน เค้ามีความสัมพันธ์ชู้สาวกับผู้หญิงที่ทำงานเดียวกัน แต่เค้าต้องการเลิกและจะอยู่กับดิฉัน ดิฉันก็ให้อภัยเค้า หลังจากนั้นแค่วันเดียวเค้าก็มีอาการเศร้าอน่างเห็นได้ชัด และเราเริ่มทะเลาะกันรุนแรง เค้าบอกว่าเค้ารักผู้หญิงคนนั้น ไม่ได้รักดิฉันแล้ว พฤติกรรมเค้าเปลี่ยน การกระทำ และคำพูดไม่แคร์ความรู้สึกดิฉันเลย ทำให้ดิฉันเริ่มหมดรัก แต่ทนอยู่มาในสภาพแบบนี้ถึง 3 ปี คิดว่าเค้าจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ในระหว่างนั้นก็คิดอยากจะเลิกตลอดเวลา และอยากเริ่มต้นใหม่กับใครสักคน เราต่างคนต่างอยู่ ไม่ได้ใช้ชีวิตแบบสามีภรรยา แค่นอนอยู่ห้องเดียวกันเท่านั้น ที่ยังไม่แยกออกมาเพราะไม่มีญาติ และคนรู้จักที่นี่ เป็นผู้หญิงตัวคนเดียวทำให้รู้สึกกลัว วันหนึ่งเค้าพาดิฉันๆไปรู้จักกับหัวหน้าของเขาที่บ้าน และได้ไปกินอาหารที่บ้านบ่อย ๆ ประมาณ 4-5 ครั้ง สามีดิฉันบอกว่าอยากให้ดิฉันชวนหัวหน้าเค้าพูดคุย เนื่องจากเค้าเครียดเรื่องส่วนตัว และอยู่คนเดียว ต่อมาดิฉันเริ่มอยากรู้จักเค้าเป็นการส่วนตัว จึงโทรคุยกับหัวหน้าเค้าเพื่อปรุกษาปัญหาครอบครัว ดิฉันอยากให้เค้าสนใจดิฉัน ต่อมาเราเริ่มคุยกันบ่อยขึ้น สามารถดิฉันเริ่มสงสัย เราทะเลาะกัน ดิฉันจึงแยกมาเช่าห้องอยู่คนเดียว สามีดิฉันสงสัยหัวหน้าเค้า และเช็คโทรศัพท์ดิฉันเห็นข้อความที่ดิฉันคุยกัน ดิฉันก็ไม่ได้สนใจอะไร คิดว่าเราคงเลิกกันด้วยดี ช่วงที่แยกกันอยู่ดิฉันก็ยังคุยกับหัวหน้าเค้าทุกวัน ประมาณ 1 เดือนเราเริ่มคบกันและมีความสัมพันธ์กัน ดิฉันเห็นว่าเค้ามีหน้าที่การงานที่มั่นคง และเป็นผู้ใหญ่น่าจะดูแลดิฉันได้ดี ดิฉันก็อายุ 30 กว่าแล้ว อยากมีลูกมาก และสามีดิฉันก็ิไม่เคยมาง้อให้กลับไปเลย ประมาณเดือนกว่าสามีโทมาหาถามว่าจะเอายังไง ถ้าจะเลิกก็มาเก็บของไปให้หมด ดิฉันตอบว่าเลิก เค้าดูเหมือนจะจบง่าย ๆ ต่อมาเค้าเริ่มคิดได้ และพยายามมาง้อ โทให้ญาติ และญาติดิฉันมาง้อ จะให้ทำอะไรก็ยอม ดิฉันไม่ยอมกลับ และสิ่งที่เค้าสงสัยหัวหน้าเค้าเริ่มทำให้เค้าคอยตามและคอยจับผิด แย่ไปกว่านั้นคือเค้าเอาเรื่องราวที่สงสัยทุกอย่างไปเล่าให้ผู้บริหารระดับสูงซึ่งเป็นญาติของเค้าฟัง ซึ่งมีผลกระทบกับงานของหัวหน้าเค้าอาจจะถูกเชิญออกกรณีชู้สาว ทำให้เราแอบคบกัน ตอนนี้ดิฉันท้องได้ประมาณ เดือนเศษ ดิฉันย้ายออกมา 4 เดือนแล้ว เรื่องนี้ทำให้ดิฉัน และพี่เค้าเครียดมากเนื่องจากบอกใครไม่ได้ ถ้าญาติพี่ดิฉัน และทางสามีรู้เค้าจะต้องว่าฉันมีชู้ ซึ่งมันไม่ใช่แบบนั้น พี่เค้าไม่ต้องการให้ท้องต่อไป ดิฉันเสียใจมากไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไร พี่เค้าบอกว่าเค้าดูแลดิฉันไม่ได้ เนื่องจากสามีเก่าคอยจับตามองอยู่ตลอด และพี่เค้ามีปัญหาเรื่อง สุขภาพ และหนี้สินที่เยอะพอสมควร จะทำให้ดิฉันลำบาก เราคุยกันไม่รู้เรื่องและทะเลาะกัน
ความต้องการ
ดิฉันควรจะทำอย่างไรดีค่ะ คือ ที่ทำงานและที่พักดิฉันอยู่ใกล้สามีเก่ามาก ซึ่งเค้ายังไม่รู้เรื่องและพยายามมาง้อตลอด ถ้าย้ายหอพักก็ทำได้ แต่พี่เค้าต้องการให้ยุติการท้องเท่านั้น ดิฉันยืนยันว่าจะเอาไว้ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรไม่ให้มีผลกระทบเรื่องงานของพี่เค้าค่ะ ถ้าจะให้พี่เค้าย้ายที่ทำงานใหม่ก็คงไม่มีรายได้พอต่ายหนี้สิน
ชื่อผู้ถาม
ลลิล
วันที่เขียน
25 เมษายน พ.ศ. 2557 00:19:48
จำนวนคนเข้าดู
1894

คำตอบ

คำตอบที่ 1
คนเรามักจะคอยตามแก้ปัญหาเสมอ เพราะก่อนจะทำ ไม่ได้คิดให้รอบคอบ ก่อนจะพูด ไม่ได้คิดให้รอบด้าน
เมื่อเกิดปัญหาขึ้น จึงต้องมาตามแก้ไข
วิธีการใช้ชีวิตแบบนี้ เขาเรียกว่า ประมาท

จริง ๆ ก่อนจะมีคนใหม่ เรื่องราวกับคนเก่าน่าจะชำระสะสางให้จบก่อน ไม่ควรปล่อยให้คาราคาซัง ยุ่งนุงนังกันแบบนี้
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ อย่าไปโทษอะไร เพราะการกระทำของคนทั้งหมดนั่นเอง
เอาล่ะ มาถึงขั้นนี้แล้ว กลับไปแก้ไขสิ่งที่เกิดไม่ได้แล้ว มีแต่จะจัดการปัจจุบันอย่างไร คลื่นปัญหาร้าย ๆ ในอนาคตจึงจะไม่เกิดตามมาทำให้เดือดร้อนอีก

1. คุณต้องคุยและสรุปเรื่องราวกับสามีคุณให้ลงตัวเสีย ในเมื่อเขาก็มีหญิงใหม่ไปแล้ว และก็บอกให้คุณขนของออกจากบ้านไปแล้ว

2. ผู้ชายคนใหม่ของคุณ ต้องยอมรับว่า เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแล้ว ไม่ใช่หนีปัญหา ต้องช่วยกัน ถ้าอายก็ต้องย้ายต้องหาที่ทำงานใหม่ หาที่อยู่ใหม่ ไม่ใช่ปกปิดกันลับ ๆ ลำบากก็ต้องทน ถ้ารักกันจริง

3. ไม่ว่าจะอย่างไร อย่าเอาความอายของตัวเอง อย่าเอาความกลัวตกงานของตัวเองมาเป็นข้ออ้างแล้วก็ทำลายลูกในท้องของตัวเองทิ้ง นั่นเขาเป็นอีกชีวิตหนึ่ง เขาไม่ใช่สมบัติของคุณ เขาคือสมบัติของโลก คุณทั้งสองให้กำเนิดเขาก็จริง แต่ไม่มีสิทธิทำลายเขา ปล่อยให้เขาเจริญเติบโตออกมา เขาอาจเป็นบุคคลสำคัญช่วยสร้างสรรค์โลกนี้อย่างมากมายก็ได้

ถ้าพวกคุณยังทำคือทำลายชีวิตเขา ก็เท่ากับพาทำบาปกรรมหนักอีก คือฆ่าคน ฆ่าลูกตัวเอง แล้วก็จะเป็นเวรกรรมต่อกันไม่จบสิ้นง่าย ๆ สุดท้ายพวกคุณอาจถูกคนอื่นทำแบบเดียวกันนี้อีกก็ได้ อย่าคิดทำแบบนี้เลย ถ้าเขาบีบคุณ คุณก็ต้องยืนยันและอย่าไปทำตาม

อย่าเอาคำว่า อายุมาก แก่ หรืออาย หรืออะไรอื่นมาเป็นเหตุผลข้ออ้างแล้วฆ่ามนุษย์ด้วยกัน

ตัวคุณเอง อาจต้องเสียสละ เมื่อถึงคราวจำเป็นคือ ยอมอยู่คนเดียวและเลี้ยงลูกคนเดียว ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ชายที่ไหนอีก

ชีวิตคนเรา เมื่อทำกรรมอย่างไร ก็จะได้รับผลอย่างนั้น
ตั้งสติ ยอมรับความจริง อยู่กับความจริง ไม่ท้อถอย พัฒนาตัวเอง ชีวิตก็เดินหน้าไปได้

อย่าทำลายชีวิตใด ๆ เพื่อหนีอาย หนีปัญหา
จงสู้หน้ากับปัญหาและเดินหน้าฝึกอบรมพัฒนาชีวิตของตัวเองต่อไป
อย่าท้อแท้ อย่าอ่อนแอ อย่าให้ความมักง่ายสิ้นคิดมาทำให้ใจมืดบอดไปทำลายชีวิตใคร ๆ

คนเราผิดพลาดกันได้ทุกคน ยอมรับผิดแล้วแก้ไข ก็จะดีขึ้นได้
แนะนำให้กราบพระ สวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรม แผ่เมตตาทุก ๆ วันจะทำให้อะไร ๆ ดีขึ้น
ขอให้ตั้งใจทำ อย่าทำ ๆ หยุด ๆ อย่าสักแต่ว่า หรือทำ ๆ เพื่อให้จบสิ้นไปเท่านั้น

ฝึกเจริญสติภาวนา ฝึฟังและฝึกตามนี้ทุกวัน ต่อเนื่องไป 6 เดือน ชีวิตดีขึ้นทันตาเห็นแน่นอน
http://www.buddhisthotline.com/index.php?page=frmnews6&newsid=143

จัดสรรเวลาไปศึกษาปฏิบัติธรรมบ้าง
เช่น ตรงนี้ http://www.buddhisthotline.com/index.php?page=frmnews3&newsid=150
ชื่อผู้ตอบ
อาจารย์ผู้ให้คำปรึกษา 99
วันที่เขียน
26 เมษายน พ.ศ. 2557 01:21:01
ทั้งหมด 1 รายการ
1 / 1
อ่านป้ายฉลากยา 10,000 รอบ แต่ไม่กินยา มันก็คงรักษาโรคอะไรไม่ได้
เช่นกัน แม้ว่าจะอ่านหนังสือ 10,000 เล่ม ฟังเทศน์ 10,000 เรื่อง ปรึกษาผู้รู้ 10,000 คน ประโยชน์ก็มีเพียงน้อยนิด
หากเราไม่ลงมือทำ ไม่ลงมือปฏิบัติ ไม่พยายามทำ การมัวแต่คิดอยากให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ไปเฉยๆ จะมีผลสำเร็จอะไร