ปรึกษาปัญหาชีวิต (สำหรับเจ้าของกระทู้)

ปัญหาน้องสาว
รายละเอียด
ดิฉันมีน้องสาวต่างบิดา ซึ่งเค้าเป็นคนเล็ก ตอนเล็กๆเค้าไม่ชอบเรียนหนังสือ สอบตก และเรียนไม่จบม.3 หนีไปอยู่บ้านผู้ชาย แม่ไปตาม กว่าจะกลับอีก 1 วัน พ่อเลี้ยงดิฉันตามใจ อะไรก็ได้ก่อน พ่อทำการบ้านให้เค้า ครูมาพบที่บ้าน เพื่อแจ้งความประพฤติของเค้า จำได้เค้าเคยแท้งพ่อตีเค้า จากนั้นอายุ 20 ปี เค้าไปอยู่กับผู้ชาย มีลูกสาว 1 คน ทางบ้านกลัวหลานลำบาญ จึงเอามาเลี้ยงตอน 7 เดือน จากนั้น 6 ปี ผ่านไปเค้าท้องลูกแฝดชาย สามีก็ไปมีหญิงอื่น พ่อของเด็กหายแลแล้วเลิกกัน แม่จึงให้เค้ากลับมาอยู่บ้าน พอเค้าคลอดลูกทางบ้านเลี้ยงไว้ แฝดน้องเป็นโรคหัวใจ วันหยุดดิฉันเที่ยวมากับรพ. เค้าก็ไปมีสามีใหม่ ลูกแฝดโรคหัวใจ ชะเง้อหาเค้าทุกวัน แม่ก็ไม่กลับบ้าน เค้าไปติดผู้ชายที่มีลูกติด 1 คน แฝดคนโตเคยเจอเค้า เรียกเค้า เค้าไม่มอง ต่อมาแฝดอายุ 2 ขวบครึ่ง แฝดโรคหัวใจเสียชีวิต แม่โทรตามเค้ากลับมา เค้าร้องไห้มาก ระหว่างจัดงานศพ มีผู้ชายติดพันเค้าอีกคน ช่วยเหลืองานดีมาก แต่เค้าไม่สน ไม่นานผ่านไปเค้าเลิกกับผู้ชาย 2 คนนี้ แล้วไปคุยโทรศัพท์กับผู้ชายอีกคน ครั้งนี้เค้าหายไปอีก ต่อมาพาผู้ชายใหม่มาบ้าน เค้าท้อง เค้าซื้อของมากินกัน 2 คน โดยไม่เรียกเด็ก 2 คน(จากสามีเก่า) กินเลย เด็ก 2 คนไม่สนอยู่แล้ว เพราะแม่ และ ป้าๆ เลี้ยงเค้าไม่เคยอด เค้าคลอดลูกสาว และไม่ทำงาน มีปัญหากับญาติฝ่ายชาย เค้าส่งลูกสาว(ที่เกิดจากสามีใหม่) ไปให้ย่าเลี้ยงที่ตจว. จากนั้น ตัวเองก้อกลับมาบ้านดิฉัน หางานทำได้ พร้อมนำท้องมาอีกคน เค้าคลอดลูกสาวอีกคน ดิฉันกำกับแม่เลยว่าไปเฝ่า แล้วให้ทำหมัน เค้าเงินเดือนน้อยทั้งคู่ คนที่ช่วยกันคือพวกป้าๆ เพราะ ป้า 2 คน ไม่ได้แต่งงาน อีกคนซึ่งเป็นพ่อเดียวกับเค้า ไม่มีลูก สามีเค้ารักและสงสารเด็กมา จึงช่วยกันส่งคชจ.ต่างๆ พร้อมอุปกรณ์ เฟอร์นิเจอร์ของใช้ในบ้าน พ่อเลี้ยงอยู่กับเค้า พ่อเลี้ยงเดินไม่ได้ สามีเค้าดูแลดี ต้นปีนี้พ่อเลี้ยงเสีย ได้มีเงินแบ่งฌาปณกิจ เราตกลงกันว่า คชจ.จากงานศพ เราจะให้พี่น้อง ซึ่งเป็นลูกของพ่อเลี้ยง แม่ หารกัน จากนั้น เค้าจะต้องให้หลานทั้งหมด ดิฉันกับพี่สาวไม่เอา เพราะไม่ใช่ลูกแท้ๆ แต่ดิฉันยังเหมือนเดิม คือซื้อของเครื่องใช้ให้หลาน เดือนเม.ย. เค้ากับสามีลาออกจากงานแล้วพากันย้ายไปอยู่ตจว. โดยไม่บอกแม่ ดิฉันกับพี่สาวโทรตาม ด้วยความเป็นห่วง สามีเค้าบอกว่าให้เค้าบอกแม่ด้วย คิดว่าบอกแล้ว หลังจากได้ 2 เดือนสามีเค้าโทรมาให้มารับน้องสาว เอาแต่นั่งร้องไห้ ข้าวปลา ไม่กิน ไม่ทำงานบ้าน ไม่ดูแลลูก เค้ากลับมาต้องดูแลลูกทุกอย่าง ถามอะไรก้อไม่พูด เค้าไม่พูดกับใคร เหมือนถูกสาป ให้เป็นใบ้ น้องสาวให้เค้ากลับมาบ้าน ดิฉันโมโห บอกให้เค้ากลับไปดูแลลูก เป็นภรรยาที่ดี เค้าหอบลูกกลับมานั่งอยู่ที่หมอชิต จนถึงเช้า แล้วกลับมาบ้านมอมแมม โทรม ดิฉันกับพี่สาวเห็นสภาพ แล้วให้ทิ้งเสื้อผ้าแล้วจับหลานอาบน้้า บอกเค้าว่าไม่ต้องทำอะไร อยู่บ้านไปก่อน พาไปหาจิตแพทย์ 2 ที่ บอกว่าไม่เป็นอะไร ถามก็ไม่ตอบ ไม่พูด ให้ทำงานบ้าน ช่วยบ้าง ไม่ช่วยบ้าง ให้ทำงานก็ไม่ทำ ดูแลลูกก็ต้องบอกตลอด ซื้อของอะไรจำได้หมด โดยไม่ต้องจด ล่าสุดเค้าทะเลาะกับลูกสาวคนโต ปัจจุบันอายุ 17 ปี ถึงขึ้นกระชากผม และ ดึงเสื้อ บอกว่าเค้าแค้นมานาน เค้าเขียนที่กระจกห้องแต่งตัวว่า ทำไมแต่งตัวแบบนี้ ลูกสาวเค้าไปดึงออกว่าเขียนอะไรไม่รู้ เค้านั่งเคาะรีโมท ทีวี ลูกสาวเค้าไม่ให้เคาะ แย้งรีโมท จนเกินเรื่องกัน ทุกวันนี้ แม่ต้องคอยเฝ้ากลัวจะเกิดศึกกันอีก ดิฉันได้คืนเงินบางส่วนให้กับเค้า สิ่งที่ดิฉันเป็นห่วง คือเด็กๆ จะเกลียดแม่ ที่ทำแบบนี้ ดิฉันพยายามสอนหลานให้ดูตัวอย่างวันเฉลิม ที่เค้ารักแม่ ทั้งๆที่แม่เค้าไม่ดี แต่พี่สาวดิฉันตั้งข้อรังเกียจแล้ว ไม่ให้หลานไปยุ่ง แต่คนที่อยู่บ้านเดียวกันสิค่ะ เดินผ่านก็เจอหน้าค่ะ
ความต้องการ
ดิฉันขอปรึกษาว่าจะทำอย่างไรดีให้น้องสาวดิฉัน รู้ว่าควรเป็นแม่ที่ดี เป็นลูกที่ดี คิดดี ปล่อยวางเสียบ้าง จะต้องไปปฏิบัติธรรม หรือว่าอย่างไร เค้าชอบใส่บารต บ้างครั้งพระไม่มาหน้าบ้าน เค้าถึงนั่งรถไปใส่ที่วัดค่ะ กราบขอบพระคุณ คำแนะนำอันยิ่งใหญ่ค่ะ ดิฉันยังไม่เผยแพร่ ข้อมูล หากมีประโยชน์ต่อบุคคลทั่วไปแล้ว ดิฉันจะกรอกข้อมูลเพื่อเป็นธรรมทานค่ะ
ชื่อผู้ถาม
นกน้อย
วันที่เขียน
9 ธันวาคม พ.ศ. 2556 13:09:51
จำนวนคนเข้าดู
1349

คำตอบ

คำตอบที่ 1
1.  ทุกคนก็ผิดพลาดได้ โดยเฉพาะคนที่ไม่เรียนรู้ ไม่ศึกษา ไม่อ่าน ไม่ฟัง ไม่เปิดใจกว้างรับฟังเสียงแนะนำเสียงวิจารณ์  แต่ในฐานะเขาเป็นน้องเรา เราต้องให้กำลังใจเขาไปเรื่อย ๆ  เราอย่าท้อแท้ อย่าฉุนเฉียว เราต้องชวนเขาไปทำกิจกรรม ไปวัด ไปทำบุญแบบนั้นใช้ได้แล้ว

2. พยายามให้เขาเข้าใจว่า การทำบุญนั้นมี 3 ประเภท คือ ทาน ศีล ภาวนา
ทาน นั้น ก็อย่างที่เขาทำ คือตักบาตร ถวายทาน แบ่งปันสิ่งของให้คน แบบนี้ก็จัดเป็นทาน ซึ่งทำได้ง่าย
ศีล ก็คือการรักษาศีล 5 นั่นแหละ คนมีศีล 5 จะมีความสุขโดยธรรมชาติอัตโนมัติ อยากมีความสุข ก็ต้องเข้าใจศีลให้ดีและรักษาให้ดี ซึ่งสามารถทำได้ไม่ยากนัก
ภาวนา จะยกระดับจิตใจอีกขั้น คือการเจริญจิตภาวนา ให้จิตใจรู้เท่าทันความเป็นจริงของสังขารของโลกของชีวิต ซึ่งจะทำได้ยากที่สุด
ลำพังแค่ทำทาน แต่ไม่มีศีล ไม่เจริญภาวนา ความสุขก็จะมีน้อยหน่อย
บอกน้องว่า เวลาทำทาน อย่าไปคิดว่า ทำแล้วจะทำแล้วเงินทองจะไหลมาเทมา ให้คิดว่า ให้เราได้ฝึกหัดละความตระหนี่และได้ช่วยกันต่ออายุพระศาสนา ศาสนาก็จะคงอยู่ยาวนานให้ประโยชน์สำหรับคนที่จะเกิดมาในยุคต่อ ๆ ไป

และให้เขาเข้าใจว่า คนเราจะสุขจะทุกข์ ก็เพราะการกระทำของตัวเองใน 3 ช่องทาง คือ ทางร่างกาย ทางปาก และทางใจ จึงเป็นหน้าที่ที่คนนั้น ๆ จะต้องฝึกหัดฝึกปฏิบัติดูแลด้านร่างกายตัวเอง ด้านการพูดจาของตัวเอง ด้านการคิดการนึกของตัวเองให้ดี

3. หาโอกาส พาน้องไปเจริญภาวนาที่สำนักปฏิบัติธรรมใกล้บ้าน 
วิธีการเตรียมตัวนั้น ลองดูตรงนี้ http://bhaddanta01.blogspot.com/

การเรียนหนังสือ การอ่านหนังสือ การฟังธรรม ก็เป็นการหาความรู้ ทำความเข้าใจระดับต้น ส่วนการภาวนา จะเป็นการลงมือเพื่อจัดการชีวิตเราเลย ถ้าทำต่อเนื่อง จะมีผลในระยะยาว คือเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเราไปได้เด็ดขาด การภาวนา จะทำให้จิตใจสงบขึ้น พฤติกรรมการพูดจา การคิด จะนุ่มนวลและละเอียดขึ้นอย่างมาก จะมีความเข้าใจโลกมากขึ้น เข้าใจชีวิตมากขึ้น ในการใช้จ่ายการบริโภคสิ่งของต่าง ๆ ก็จะมีความสมเหตุสมผลมากขึ้น จะมีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์มากขึ้น จะไม่โลภมาก จะไม่สนใจไปแย่งชิงอะไรกับใคร นี่คือประโยชน์ของการภาวนา
พาน้องไปเจริญภาวนาบ่อย ๆ ให้มีเวลาให้ต่อเนื่อง น้องจะมีความสุข และคนรอบข้างน้องก็จะพลอยได้รับความสุขไปด้วย เด็ก ๆ ที่จะเติบโตมาก็จะเห็นเป็นแบบอย่าง เขาก็จะมีความสุขตามไปด้วย
ชื่อผู้ตอบ
อาจารย์ผู้ให้คำปรึกษา 99
วันที่เขียน
11 ธันวาคม พ.ศ. 2556 10:44:18
ทั้งหมด 1 รายการ
1 / 1
อ่านป้ายฉลากยา 10,000 รอบ แต่ไม่กินยา มันก็คงรักษาโรคอะไรไม่ได้
เช่นกัน แม้ว่าจะอ่านหนังสือ 10,000 เล่ม ฟังเทศน์ 10,000 เรื่อง ปรึกษาผู้รู้ 10,000 คน ประโยชน์ก็มีเพียงน้อยนิด
หากเราไม่ลงมือทำ ไม่ลงมือปฏิบัติ ไม่พยายามทำ การมัวแต่คิดอยากให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ไปเฉยๆ จะมีผลสำเร็จอะไร