ปรึกษาปัญหาชีวิต (สำหรับเจ้าของกระทู้)

เบื่อชีวิต
รายละเอียด
เบื่อชีวิตตัวเอง ตั้งแต่เกิดมารู้สึกว่าไม่เคยได้รับคำชมสักอย่างโดนด่าว่าโง่ไร้ความสามารถ มีเพื่อนเพื่อนก็นินทาลับหลัง แซะเราทั้งที่เรายังอยู่ตรงหน้า เพื่อนทั้งห้องเกลียดเรา สงสัยข้าพเจ้าเป็นคนพูดแรงและตรงเกินไปจนคนอื่นเบื่อและด้วยความจุกจิกขี้ระเบียบจนคนอื่นรำคาน มีเพื่อนน้อยมากๆ สังเกตได้เลยว่าทำอะไรจะไม่มีใครนึกถึงหรือนึกไม่ออกว่ามีข้าพเจ้าอยู่ด้วย. เวลานัดมาทำรายงานหรือไปเที่ยว ก็จะโดนเบี้ยวให้มาคนเดียวตลอด ตอนนี้ข้าพเจ้าไม่ใครปรึกษาแล้ว ไม่อยากปรึกษาพ่อแม่กลัวท่านทุกข์ใจ ตอนนี้ข้าพเจ้า รู้สึกเบื่อไม่อยากทำอะไร ไม่อยากอยู่บนโลกแล้ว เรียนโง่ไร้ความสามารถมหาลัยก็สอบไม่ได้ เงินเรียนต่อก็ไม่มีเรียน สังคมรังเกียจข้าพเจ้าไปหมด ไม่วันไหนที่ข้าพเจ้าไม่ทุกข์เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ตอนเด็กๆ ไม่มีเพื่อนคบแบบนี้ตั้งแต่เด็ก ไม่มีใครมาชมว่าดีสักครั้ง
ความต้องการ
ไม่อยากอยู่แล้ว แต่อยากรักษาอาการแบบนี้ให้หายไปอยากมีมิตรภาพที่ดี อยากมีคำชม
ชื่อผู้ถาม
แป้ง
วันที่เขียน
8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 23:55:39
จำนวนคนเข้าดู
1235

คำตอบ

คำตอบที่ 1
ความเบื่อ เป็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างจิตกับสิ่งภายนอก เมื่อคิดไว้แบบหนึ่ง แล้วได้รับอีกแบบหนึ่ง ไม่ถูกใจเรา เราก็เบื่อ เมื่อถูกใจเรา เราก็ชอบ ติดใจ อยากได้แบบนั้นอีก การเบื่อ การหน่าย การชอบ การผิดหวัง สมหวัง เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่สุดของชีวิตคนเรา เมื่อเบื่อเกิดขึ้นแล้ว เราไม่ต้องหนีมัน ให้มองมัน ตั้งใจดูมัน เบื่ออะไร เบื่อเพราะอะไร ถ้าเราดูมันมาก ๆ เข้า มันจะเกิดสติขึ้นมา มันจะก้าวข้ามไปได้แบบสบาย ๆ ความเบื่อก็ไม่แน่นอน สักวันมันก็เปลี่ยนไปได้ 1. คนเราจะดี เลว ไม่ได้อยู่ที่คำพูดของคนอื่น เราไม่ได้เลว เพราะคนอื่นด่า นินทา เราไม่ได้ดี เพราะคนอื่นมาชม มาสรรเสริญเยินยอ เมื่อเราเข้าใจความจริงแบบนี้ เราจะไม่หวั่นไหว ไม่เรียกร้องหาคำชมจากใครเลย หรือใครจะด่า นินทาเรา เราก็ฟังและขอบคุณเขา เราจะไม่โกรธเขาเลย 2. เรื่องที่เพื่อนไม่ชอบเรา เราก็ต้องมองตัวเอง เราอย่าไปคิดจัดระเบียบคนอื่น จัดระเบียบตัวเองก็พอ คือเคร่งครัดที่ตน ผ่อนปรนที่คนอื่น ไม่ต้องไปจู้จี้จุกจิกเรื่องมากกับคนอื่น ไม่ต้องไปโวยวายคนอื่น ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีทีสุด นั่นแหละ พอแล้ว คนอื่น เขาจะดี หรือเลว เป็นเรื่องของเขา 3. การไม่อยากมีชีวิตอยู่ เป็นความคับแค้นใจ เป็นอกุศล เป็นมิจฉาทิฐิ เป็นความไม่รู้จักธรรม เราต้องอ่านธรรมะ ฟังธรรมะ และลงมือปฏิบัติธรรมเลยทันที 4. ไม่มีใครเก่ง ฉลาดไปทุกเรื่อง ไม่มีใครโง่ไปทุกเรื่อง เราอย่ามองตัวเองในแง่ร้าย ถ้าเราเอาจริงเอาจัง ตั้งใจจริง มุ่งมั่น ค้นคว้า เรียนรู้ ทำแบบฝึกหัดเยอะ ๆ หลาย ๆ สำนักพิมพ์ หาข้อมูลให้เป็น วางแผนให้เป็น ไม่ติดเที่ยว ไม่ติดเกม ไม่ติดคลิป ไม่ติดเล่น ไม่ติดแชต เราก็สอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้แน่นอน สอบให้ติดก่อน เรื่องอื่น ค่อยว่ากันทีหลัง แม้แต่เรือ่งเงิน ทางมหาวิทยาลัยเขาก็มีทุนการศึกษาให้กู้ยืมเรียนได้ สิ่งสำคัญคือ เราสอบต้องสอบให้ติด และควรเป็นสาขาที่เขาให้ทุนง่าย คือ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี เคมี ชีวะ ฯลฯ ส่วนด้านสังคมศาสตร์ เขาจะไม่ค่อยให้ทุนแล้ว 5. อย่าเสพติดอดีต อดีตมันผ่านไปแล้ว มันจะดีหรือเลว ก็ไม่มีสิทธิไปจัดการแล้ว แต่ปัจจุบันนี้สิ สำคัญ มันจะนำเราไปสู่อนาคต ถ้าเราทำปัจจุบันดี อนาคต มันก็จะดี กลับมามองตัวเองใหม่ ทุกคนล้วนมีความสามารถอยู่ในตัวทั้งนั้น อย่ามองข้าม เพียงเราต้องสงบลง ฝึกจิตให้เย็นลง ไม่ไปคาดหวังที่คนอื่น ปล่อยวาง แล้วเรียนรู้ทุกอย่างให้รู้จริง ไม่ติดใจกับคำพูดของใคร เราจะผ่านพ้นทุกอย่างไปได้ เราจะไปได้ดี และประสบความสำเร็จ ธรรมะ แก้ปัญหาทุกอย่าง วันนี้ เรานำธรรมะมาจัดการชีวิตเราหรือยัง
ชื่อผู้ตอบ
อาจารย์ผู้ให้คำปรึกษา 99
วันที่เขียน
9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 07:07:34
คำตอบที่ 2
ก่อนนอนทุกวัน ให้พิจารณาตัวเองตามนี้ ตื่นนอนทุกวัน ให้ฝึกจิตตามนี้ ฝึกให้ต่อเนื่องไปทุก ๆ วัน สัก 9 เดือน เป็นอย่างน้อย ชีวิตคนเรา มีสุข มีทุกข์ มีได้ มีเสีย คละเคล้าผสมปนเปไปทุกวัน สิ่งนี้เป็นธรรมดา เพราะสติ เพราะปัญญาของคนเราไม่ได้เต็มเปี่ยมตลอดเวลา ชีวิตคือปรากฎการณ์ชั่วคราว ชีวิตคนเรานี้สั้นมาก ๆ จงใช้ชีวิตนี้สร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามให้กับตนเอง คนอื่น สังคมและโลก ทำให้เต็มที่สุดความสามารถของเรา เมื่อมีชีวิตอยู่ จงมีสติเต็มเปี่ยม พร้อมเผชิญกับทุกเหตุการณ์ ทั้งที่เราชอบ และไม่ชอบ ผิดหวังและสมหวัง เผชิญกับมันอย่างมีสติ มีปัญญา เราต้องมองทุกอย่างตามสภาพจริง และลุยแก้ตามความเป็นจริง ------------- วันเวลาของชีวิต หมดไปอย่างรวดเร็ว อายุ วัยและความหนุ่มสาว หายไปอย่างเร็วไว วันและคืนหมุนเวียนไป ย่อมกลืนกินชีวิตให้หมดหายไป เชื่ออะไร เชื่ออย่างไร คิดอย่างไร ทำอย่างไร ก็สุดแท้แต่กำลังสติและปัญญาของบุคคลนั้น ๆ ทุกชีวิต ย่อมผันแปรและเป็นไปต่าง ๆ ตามการคิด การพูด และการกระทำของตัวเอง คิดอะไร ก็คิดได้ แต่อย่าให้ผิดศีล ผิดธรรม พูดอะไร ก็พูดได้ แต่อย่าให้ผิดศีล ผิดธรรม ผิดกฎหมาย ทำอะไร ก็ทำได้ แต่อย่าให้ผิดศีล ผิดธรรม ผิดกฎหมาย ------------------- ธรรมะ แก้ปัญหาได้ทุกอย่าง ธรรมะคือภูมิปัญญาดั้งเดิมที่มีอยู่เพื่อมนุษย์ทุกคน แต่จะมีใครสนใจหรือไม่เท่านั้น ถ้าต้องการแก้ปัญหาชีวิต ขอเพียงตั้งใจ อดทน อ่านหนังสือธรรม ฟังธรรม และฝึกจิตให้อยู่กับศีลกับธรรมต่อเนื่องไปไม่เกิน 9 เดือน อะไร ๆ ก็จะดีขึ้น งดงามขึ้น ชีวิตมีความสุขง่ายขึ้น ทุกข์น้อยลง ปัญหาชีวิตจะน้อยลง การพึ่งตัวเองได้ การฝึกตัวเองให้อยู่กับศีลกับธรรมนั่นแหละ คือการนำธรรมะมาจัดการชีวิตที่ดี -------------- เวลาเดือดร้อน เกิดปัญหาต่าง ๆ มากมาย จะเครียด และมัวแต่จะโทษเวรกรรม โทษดวง โทษชะตา โทษปี เดือน วันเกิด "ทำไม จึงเป็นแบบนี้นะ ทำไมชีวิตฉันต้องมาเจออะไรแบบนี้ มันเป็นเวรเป็นกรรมอะไรของฉันอย่างนี้" แต่คนที่มีปัญญากว่า จะไม่โวยวาย ตีโพยตีดาย เมื่อเผชิญหน้ากับปัญหาต่าง ๆ จะมองปัญหาแล้วไล่ตรวจว่า สาเหตุมาจากอะไร แล้วหาทางแก้ไขที่สาเหตุนั้น ๆ มากกว่าจะไปสนใจเรื่องเวรกรรม ความซวย ดวงไม่ดี ปีชง อะไรนั่น ------------------ เป็นคน พร้อมเผชิญกับทุกสิ่งอย่างมีสติ อย่างมีปัญญาสูงสุด เห็นคนอื่นเครียด เราต้องไม่เครียด เห็นคนอื่นโกรธ เราต้องไม่โกรธ เห็นคนอื่นเศร้า เราต้องไม่เศร้า เห็นคนอื่นอ่อนแอ เราต้องไม่อ่อนแอ เห็นคนอื่นหงุดหงิด เราต้องไม่หงุดหงิด ไม่ว่าจะสถานการณ์ใด เราต้องยิ้มได้ และพร้อมเผชิญกับทุกสิ่งอย่างมีสติ อย่างมีปัญญาสูงสุด ------------------- ชีวิตคนเรา ก็ไม่มีอะไรมาก เกิดมาแล้ว ก็ต้องพบกับสิ่งที่ดี ไม่ดี สมหวัง ผิดหวังคละเคล้าปนเปกันไปทุกวี่วันทุกเดือนทุกปีอยู่แล้ว จริง ๆ แล้ว ชีวิตคนเรา ก็ไม่มีอะไรมาก เกิดมาแล้ว ก็ต้องพบกับสิ่งที่ดี ไม่ดี สมหวัง ผิดหวังคละเคล้าปนเปกันไปทุกวี่วันทุกเดือนทุกปีอยู่แล้ว เมื่อเราเข้าใจความจริงนี้แล้ว ไม่ยึดติดมัน เราจะไม่เครียด ไม่เศร้า ไม่หมอง จะเดินต่อไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง ไม่โทษเวรกรรม ไม่โทษคนโน้นคนนี้ ชีวิตแต่ละคน เป็นสมบัติของตัวเอง คนแต่ละคนสามารถสร้างสิ่งดีงามได้ด้วยร่างกายของตนนี้ แต่เมื่อหมดลมหายใจแล้ว ก็หมดสิทธิ์ใช้ร่างกายนี้สร้างกุศลได้แล้ว ต้องไปตามกรรมที่ตนได้กระทำไว้ตอนมีชีวิตอยู่นั่นเอง ที่พึ่งอื่นของเราไม่มี มีแต่ตัวเราเท่านั้น พึ่งตัวเราเองได้ คือจิตของเราที่ฝึกให้ดีแล้ว ฝึกให้มีศีลให้มีธรรมแล้วนั่นแหละ จะเป็นที่พึ่งของเรา เมื่อเราหมดลมหายใจลง ลูก เมีย พ่อ แม่ ญาติ หรือใคร ๆ ก็ไม่ได้ไปกับเราเลย เราผู้เดียวเท่านั้นไปสู่โลกหน้าผู้เดียว บุญ หรือบาปที่เราทำไว้ขณะมีชีวิตอยู่นั่นเอง จะนำเราไปสู่สุคติ คือสถานที่ดีงาม เช่น เทพ พรหม มนุษย์ หรือนำเราไปทุคติ สถานที่ตกต่ำเลวร้าย เช่น นรก เปรต เดรัจฉาน ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด จะดีเลิศ หรือเลวร้ายแบบไหน จงรักษาจิตของเราให้มีศีลมีธรรม มีเมตตาอยู่เสมอ อย่าให้สติหลุดหาย อย่าให้ปัญญาตกต่ำไป ทำแบบนี้ ชีวิตเราจะงดงามและคุ้มค่าที่ได้เกิดมา ---------------------- ธรรมะแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง ธรรมะป้องกันปัญหาได้ทุกอย่าง จงรีบนำธรรมะมาใช้ดูแลชีวิตตัวเองทุกลมหายใจเข้าออก ตลอดเวลาทุกวันคืนตั้งแต่ตื่นนอน-นอนหลับ เพราะ- ชีวิตที่ขาดธรรมะ เมื่อพบเจอปัญหา จะท้อแท้ สิ้นหวัง ชีวิตที่ขาดธรรมะ เมื่อพบเจอปัญหา จะรู้สึกโดดเดี่ยว ไม่เหลือใคร ชีวิตที่ขาดธรรมะ เมื่อพบเจอปัญหา จะเสียศูนย์ เศร้าหมอง ชีวิตที่ขาดธรรมะ เมื่อพบเจอปัญหา จะอ่อนแอ ร้องไห้ ชีวิตที่ขาดธรรมะ เมื่อพบเจอปัญหา จะร้อนรน น้อยใจ ชีวิตที่ขาดธรรมะ เมื่อพบเจอปัญหา จะก่อเวร สร้างศัตรู ชีวิตที่ขาดธรรมะ เมื่อพบเจอปัญหา จะขาดพลังสร้างสรรค์ ชีวิตที่ขาดธรรมะ เมื่อพบเจอปัญหา จะไม่อยากอยู่ จะอยากตาย ชีวิตที่ขาดธรรมะ เมื่อพบเจอปัญหา จะทำลาย จะรุนแรง ชีวิตที่ขาดธรรมะ เมื่อพบเจอปัญหา จะไม่สู้หน้าแก้ปัญหา แต่จะหนีปัญหา ชีวิตที่ขาดธรรมะ เป็นชีวิตที่สูญเปล่า ------------------- ชีวิตไม่ใช่การหายใจทิ้งไปวัน ๆ ชีวิตไม่ใช่การนั่งนอนให้ผ่านพ้นไปวัน ๆ ชีวิตไม่ใช่การกิน เที่ยว เล่น สนุกไปวัน ๆ ชีวิตไม่ใช่การผลาญทรัพยากรโลกไปวัน ๆ ชีวิตไม่ใช่การรอให้แก่และตายไป แต่ชีวิตคือการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามสำหรับตนเอง เพื่อนมนุษย์ และโลก ทุกลมหายใจเข้าออกของคนเราสามารถสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามได้ และสิ่งที่ดีงามที่สุดก็คือ ทาน ศีล และจิตภาวนา นั่นเอง ---------------------- เปิดใจ ยิ้มให้ตัวเอง ยิ้มให้โลก ยิ้มให้เพื่อนร่วมโลกทุกชีวิต แม้เขาจะไม่ชอบเราก็ตาม เปิดตา กล้ามองทุกคน กล้าสบตากับคน กล้าพูดคุยกับทุกคน กล้านับถือชีวิตอื่น ๆ ทุกคน แม้เขาจะคิดต่างจากเรา เปิดใจ ให้อภัยทุกคน ไม่ติดใจใคร ไม่แค้นเคืองใคร ปล่อยวางได้ ไม่เก็บมาคิดมาก เปิดความกล้า กล้าฟังคนด่า กล้าฟังคนนินทา ไม่หนีเมื่อเขาด่าว่านินทา พร้อมฟัง พร้อมอธิบายความจริง และไม่โกรธคนเหล่านั้น เปิดความมุ่งมั่น มุ่งมั่นเรียนให้ดีเลิศ ทำงานให้ดีเลิศ สร้างชีวิตให้ก้าวหน้าไปจนใคร ๆ อยากทำตาม เปิดความกล้า ไม่กลัวใคร ไม่หวั่นเกรงใด ๆ เมื่อเราทำถูกต้อง คิดถูกต้อง และพูดถูกต้อง ----------------------- ไม่มีที่พึ่งอื่นใด ดีเท่ากับจิตของเราเอง ไม่มีเพื่อนคนใด ดีเท่าจิตของเราที่ฝึกได้แล้ว จิตคนเรานี้ แม้มันจะวอกแวกวุ่นวายแค่ไหน ก็สามารถฝึกได้ จิตที่ฝึกดีแล้ว คือที่พึ่งที่แท้จริงของคนเรา ดังนั้น เราต้องฝึกจิตทุก ๆ วัน ทุกเวลา เหมือนร่างกายต้องกินอาหารทุกวัน ฝึกจิตให้อยู่กับศีลกับธรรม ไม่ใช่ไปอยู่กับความหลง ความยึดติด ความเคร่งเครียด ความเศร้า ความเหงา ความอยากได้อยากมีเกินฐานะความเป็นจริง ทุก ๆ วัน ให้หามุมที่เงียบสงบ ปิดเครื่องมือสื่อสาร หยุดกิจกรรมอื่น ๆ นั่งตัวตรง ๆ นิ่ง ๆ หลับตา ผ่อนคลาย สำรวมจิต ตั้งใจรับรู้ลมหายใจเข้าออกของเราเท่านั้น สัก 25-55 นาที ต้องผ่อนคลาย เป็นธรรมชาติ ไม่บังคับลมหายใจ หน้าที่เราคือ เพียงรับรู้มันให้ทันว่า ลมหายใจออก ก็รู้ว่า ลมหายใจออก ลมหายใจเข้า ก็ตามรับรู้ว่าหายใจเข้า รับรู้ไปเรื่อย ๆ ไม่ให้วอกแวก ถ้าเผลอไปคิดเรื่องอื่น ๆ ไปคิดเรื่องในอดีต ไปคิดฟุ้งถึงเรื่องในอนาคต ก็รีบดึงจิตมาตั้งใจดูลมหายใจนี้อีก ดึงมันกลับมา ไม่เคร่งเครียด หรือท้อแท้ใจ ทำแบบนี้ทุก ๆ วัน วันละ 25-55 นาที ต่อเนื่องไปสัก 9 เดือน ทำแบบนี้แหละ จิตของจะสงบ มั่นคง และมีพลัง จิตที่สงบ มั่นคง มีพลัง ทำอะไรก็ประสบความสำเร็จได้ง่าย ------------------- ความไม่รู้ ทำให้ผิดพลาดทุกอย่าง ความไม่รู้ ทำให้เสียหายทุกสิ่ง ความไม่รู้ ทำให้พ่ายแพ้ทุกสังเวียน ความไม่รู้ ทำให้ล้มเหลวทุกกรณี จงกำจัดความไม่รู้ ก่อนที่ความไม่รู้จะกำจัดเรา ความไม่รู้ ทำให้เหงา ความไม่รู้ ทำให้เศร้า ความไม่รู้ ทำให้ท้อแท้ ความไม่รู้ ทำให้สิ้นหวัง จงกำจัดความไม่รู้ ก่อนที่ความไม่รู้จะกำจัดเรา ความไม่รู้ ทำให้เจ็บปวด ความไม่รู้ ทำให้รวดร้าว ความไม่รู้ ทำให้ชิงชัง ความไม่รู้ ทำให้ทุรนทุราย จงกำจัดความไม่รู้ ก่อนที่ความไม่รู้จะกำจัดเรา ความไม่รู้ ทำให้แค้นเคือง ความไม่รู้ ทำให้เดือดดาล ความไม่รู้ ทำให้ฟาดฟัน ความไม่รู้ ทำให้ล้างผลาญ จงกำจัดความไม่รู้ ก่อนที่ความไม่รู้จะกำจัดเรา ความไม่รู้ ทำให้แตกแยก ความไม่รู้ ทำให้เลิกรา ความไม่รู้ ทำให้หย่าร้าง ความไม่รู้ ทำให้อาฆาต จงกำจัดความไม่รู้ ก่อนที่ความไม่รู้จะกำจัดเรา ความไม่รู้ ทำให้เมามัน ความไม่รู้ ทำให้โอ่อวด ความไม่รู้ ทำให้เปลืองตัว ความไม่รู้ ทำให้เปลืองตังค์ จงกำจัดความไม่รู้ ก่อนที่ความไม่รู้จะกำจัดเรา ความไม่รู้ ทำให้เสพติด ความไม่รู้ ทำให้ถือตัว ความไม่รู้ ทำให้มัวเมา ความไม่รู้ ทำให้เป็นบ้า จงกำจัดความไม่รู้ ก่อนที่ความไม่รู้จะกำจัดเรา ความไม่รู้ ทำให้เย่อหยิ่ง ความไม่รู้ ทำให้เหยียดหยาม ความไม่รู้ ทำให้เลวทราม ความไม่รู้ ทำให้หยาบช้า จงกำจัดความไม่รู้ ก่อนที่ความไม่รู้จะกำจัดเรา ความไม่รู้ ทำให้ด่า ความไม่รู้ ทำให้แช่ง ความไม่รู้ ทำให้เกรี้ยวกราด ความไม่รู้ ทำให้ก่อเวร จงกำจัดความไม่รู้ ก่อนที่ความไม่รู้จะกำจัดเรา ---------------------- ถ้าท้อแท้ ถ้าท้อแท้ อยากตาย ไม่อยากอยู่ ให้นึกถึงแม่สุนัขตัวผอมโซหนังติดโครงกระดูก มันวิ่งพล่านหากินไปทั่ว เผื่อจะมีอะไรให้ได้แทะได้กินบ้าง แต่วิ่งทั้งวันก็ไม่มีอะไรให้กินเลย แต่มันก็ยังวิ่งเอานมเหี่ยว ๆ โตงเตง ๆ นั้นมาป้อนให้ลูกของมัน นี่คือความรักของแม่ต่อลูก มันยิ่งใหญ่มาก เราเป็นคน เราต้องคิดได้ดีกว่า และทำได้ดีกว่าแม่สุนัขตัวนั้น -------------------- ​เมื่อรู้สึกว่า ไม่มีใคร ไม่เหลือใคร อ่อนแรง หมดสิ้นกำลังใจ บางครั้ง ในยามที่พบปัญหาร้อยแปดพันเก้าประเดประดังเข้า ปัญหาต่าง ๆ นั้น ล้วนเป็นผลจากการการกระทำของเราเมื่อวันก่อน ๆ นั่นเอง วันแล้ววันเล่า ที่ต้องเหนื่อยหน่ายกับการแก้ปัญหาที่ไม่รู้ว่า จะหมดสิ้นไปเมื่อไหร่ จึงทำให้รู้สึกว่า ชีวิตนี้ไม่มีใคร ไม่เหลือใครเลย ขาดที่เหนี่ยวเกาะ ไม่มีที่พึ่งพิง ไร้กำลังใจ จนบางครั้งรู้สึกไม่อยากมีชีวิตอยู่ ไม่อยากพบปัญหาใด ๆ อีกแล้ว ไม่อยากรับรู้อะไร ๆ ไม่อยากพบใคร และอยากหนีไปให้พ้น ๆ บ้างอาจรู้สึกอยากจบชีวิตลง นี่คือความอ่อนแอของจิต นี่คือจิตที่ขาดพลัง นี่คือจิตที่ตกอยู่ภายใต้ความรู้สึก ซึ่งนับว่า อันตรายและล้าหลังมาก ๆ เราอย่าเป็นทาสความรู้สึกนี้ ------------- จงปลุกจิตตัวเองให้กล้าแกร่งขึ้นมา เอาชนะความรู้สึก ก้าวข้ามและอยู่เหนือความรู้สึกเหงา เศร้า ท้อแท้ ไร้กำลังใจให้ได้ แล้วฝึกตัวเองทุกลมหายใจเข้าออกให้มีสติและมีปัญญาตลอดเวลา สติและปัญญา หมายถึง รับรู้ความเป็นจริงขณะที่กำลังสัมผัสเกี่ยวข้อง เข้าใจความจริง มองเห็นความจริง ยอมรับความจริง และลงมือแก้ไขปัญหาตามความเป็นจริง ไม่ต้องไปหวังกำลังใจจากใคร เพราะแท้จริงแล้ว ไม่มีใครให้กำลังใจแก่ใครได้ จงสร้างกำลังใจขึ้นมาด้วยตัวเราเอง ได้เกิดมามีรูปร่างเป็นคนนี้ ถือว่ายอดเยี่ยมที่สุดแล้ว ได้เกิดมาเป็นคน แสดงว่า ได้ทำบุญเก่าไว้มากมายเลย แต่ปัจจุบัน จงพิสูจน์ฝึมือตัวเองว่า เราอยู่ในโลกนี้ได้อย่างกล้าแกร่ง เข้มแข็ง มั่นคง ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ทุกข์ยาก หรือขาดแคลนเพียงใด จงใช้เป็นเวทีทดสอบและพิสูจน์พลังสติ พลังปัญญา พลังความอดทนของตัวเอง จงปลุกใจตัวเองให้ตื่นอยู่เสมอ แม้จะรู้สึกว่า ขณะนี้ มีปัญหามากมาย เหมือนมีไฟ 10 กอง กำลังเผาไหม้ล้อมรอบตัวเราอยู่ก็ตาม ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด อย่าให้ความอ่อนแอมาครอบงำจิตเรา อย่าเป็นทาสความอ่อนแอ ความท้อแท้ ฟังธรรมะปลุกใจตัวเอง ฟังซ้ำ ๆ จะมีแต่ดีกับดี https://www.buddhisthotline.com/index.php?page=news7all
ชื่อผู้ตอบ
อาจารย์ผู้ให้คำปรึกษา 99
วันที่เขียน
9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 07:08:17
คำตอบที่ 3
ฝึกดูแลตัวเองแบบง่าย ๆ ฝึกทำตามนี้ทุกวัน ๆ ละ 3 ครั้งเป็นอย่างน้อย อาบน้ำให้สบาย สวมชุดที่สบาย ๆ เปิดอากาศให้ถ่ายเทสะดวก ปิดเครื่องมือสื่อสาร ไหว้พระ สวดมนต์ แผ่เมตตา สัก 5 นาที แล้ว นั่งหลับตานิ่ง ๆ สงบเงียบในห้องนอนของเรา นั่งตัวตรง ไม่พิงอะไร (นั่งบนเก้าอี้ก็ได้) หลับตากำหนดลมหายใจตัวเอง ไม่เกร็ง ไม่บีบ ไม่เพ่ง ไม่ยึดติด ไม่รีบ ไม่เร่ง ไม่ร้อน แต่ทำให้เป็นธรรมชาติ เรื่อย ๆ เราแค่จับที่ลมหายใจ(ที่ผ่านปลายจมูกเรา) อย่าเอาสายตาไปจับมัน เราแค่รับรู้ด้วยใจเท่านั้นว่า "อันนี้ ลมหายใจเข้า อันนี้ ลมหายใจออก" ตามติดจับไปเรื่อย ๆ แค่ให้รู้ให้ทันว่า "เข้า-ออก ๆ" หรือ "หายใจเข้ายาว หายใจออกยาว หายใจเข้าสั้น หายใจออกสั้น ๆ" แค่นั้น ไม่ต้องท่อง ไม่ต้องบ่นคำอะไร ไม่ต้องออกเสียง แค่รับรู้ลมหายใจเท่านั้น ถ้านั่ง ๆ อยู่แล้วไปคิดเรื่องต่าง ๆ ให้รีบดังกลับมาที่ลมหายใจเข้าออกนี้ เพราะสมาธิ ไม่ใช่การคิด สมาธิ แปลว่า ตั้งมั่น มั่นคง จดจ่อ การฝึกจิตให้มั่นคง สร้างวินัยให้ตัวเอง ฝึกทำแบบนี้เป็นปกติ ทำทุกวัน ทำครั้งละ 15-30 นาที วันละ 3 ครั้งก็ได้ คือ ตื่นนอน ก่อนกินข้าว และก่อนนอน หรือทุก ๆ ครั้งที่รู้สึกว่า เราเริ่มเครียด วิตก จิตตก ฟุ้งซ่าน ก็หาที่ทำเลย การฝึกแบบนี้ จะทำให้จิตของเราได้สงบ ได้พักผ่อน จิตที่สงบและพักผ่อน จะมีพลัง มีปัญญา ทำอะไรก็ประสบความสำเร็จได้ง่าย เราต้องฝึกมองทุกอย่างตามความเป็นจริง ไม่เข้าข้างตัวเองหรือใคร ๆ ไม่เอาความอยากเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ของเราเข้าไปจับ ทุกสิ่งอย่าง มันจะเป็นอย่างไรนั้น มันมีเหตุ มีปัจจัย(องค์ประกอบ) ให้เกิดได้เสมอ อีกอย่าง เราต้องยอมรับว่า มันเป็นธรรมชาติของชีวิตคนเราอยู่แล้ว ที่จะต้องมีปัญหาในชีวิตประจำวัน รวมทั้งปัญหาจรต่าง ๆ เข้ามา การที่เรารู้ว่า ปัญหาของชีวิต คือเรื่องปกติธรรมดาของคนเรา จะทำให้เราไม่ต่อต้านอะไร เรามีหน้าที่แค่จัดการแก้ไขไปเท่านั้น
ชื่อผู้ตอบ
อาจารย์ผู้ให้คำปรึกษา 99
วันที่เขียน
9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 07:08:35
คำตอบที่ 4
ชื่อผู้ตอบ
อาจารย์ผู้ให้คำปรึกษา 99
วันที่เขียน
9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 07:09:05
คำตอบที่ 5
ชื่อผู้ตอบ
อาจารย์ผู้ให้คำปรึกษา 99
วันที่เขียน
9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 07:10:18
ทั้งหมด 5 รายการ
1 / 1
อ่านป้ายฉลากยา 10,000 รอบ แต่ไม่กินยา มันก็คงรักษาโรคอะไรไม่ได้
เช่นกัน แม้ว่าจะอ่านหนังสือ 10,000 เล่ม ฟังเทศน์ 10,000 เรื่อง ปรึกษาผู้รู้ 10,000 คน ประโยชน์ก็มีเพียงน้อยนิด
หากเราไม่ลงมือทำ ไม่ลงมือปฏิบัติ ไม่พยายามทำ การมัวแต่คิดอยากให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ไปเฉยๆ จะมีผลสำเร็จอะไร