ปรึกษาปัญหาชีวิต (สำหรับเจ้าของกระทู้)

ควรแยกครอบครัวเองหรือป่าวค่ะ
รายละเอียด
เรียนท่านพระอาจารย์ ดิฉันเพิ่งแต่งงานได้ประมาณ 2 ปี สามีซื้อบ้านใกล้ที่ทำงาน ดิฉันจึงรับแม่มาอยู่ด้วย ในบ้านหลังนี้จึงมีกันอยู่ 3 คน ในช่วงแรกทีมีปัญหาก็คิดว่าเป็นการอยู่ในช่วงปรับตัว ทั้งแม่ดิฉันและสามี แม่ดิฉันอายุ 61 ปี เป็นคนที่รักความสะอาดความเป็นระเบียบ ส่วนสามีอายุ 26 ทำงานเป็นวิศวกร เป็นคนไม่เรียบร้อยไม่ค่อยสะอาดเท่าไหร่ สามีเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยใส่ใจเรื่องเล็กน้อย เช่นไม่เรียกกินข้าว ออกไปข้างนอกไม่มีของฝากมาให้ คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น ถ้าคิดว่าผิดก็จะแย้งทันที ซึ่งส่วนมากจะขัดแย้งกับความคิดแม่ดิฉัน มันเป็นต้นเหตุที่แม่ดิฉันไม่ชอบจนถึงขั้นเกลียด และก็พร่ำบอกให้ดิฉันอย่ามีลูกกับสามี แม่มักจะพูดว่าถ้ามีลูกก็เหนื่อยเพิ่มอีกเป็น หลายเท่า ลูกออกมาก็ปัญญาอ่อน ก้าวร้าว นิสัยไม่ดี ไม่มีมารยาท ขี้เหร่ เหมือนสามี จะบอกว่าสามีเลิกกันก็เป็นคนอื่นให้เอาเงินมาเก็บไว้เอง มีเงินเก็บก็ไม่ต้องบอกให้รู้ เพราะวันนึงถ้าสามี มีสังคมก็จะมีบ้านเล็กบ้านน้อย และแม่ก็จะเอาสามีไปเปรียบเทียบกันสามีคนอื่นประจำว่า สามีคนอื่นดีกว่า เอาใจใส่บ้านช่อง เห็นอะไรไม่ดีก็ซ่อมแซม ไม่เหมือนสามีดิฉันที่วันๆ เอาแต่ขี้เกียจ สาเหตุคือส่วนมากสามีดิฉันทำงานเข้ากะพร้อมกับทำโอ ติดกัน 16 ช.ม หลังกลับมาถึงบ้านก็นอน ประมาณ 6ชม เพื่อเข้ากะต่อ สามีเป็นคนไม่เจ้าชู้ ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี ไม่ชอบขาดงาน ส่วนมากสามีจะให้ดิฉันตัดสินใจในเรื่องที่บ้านเอง ส่วนแม่ดิฉันอยู่บ้านเฉยๆ ก็จะทำความสะอาดบ้าน ทำอาหารให้ทาน ค่าใช้จ่ายทั้งหมดในบ้านสามีกับดิฉันจะจ่ายเอง เงินเดือนดิฉันเป็นคนให้แม่ทุกเดือน แม่ก็จะบ่นว่าสามีไม่เคยให้เงินเดือนบ้าง ถ้าเป็นลูกเขยคนอื่นเขาให้กันทั้งนั้น ก็มักจะเอาบ้านอื่นมาเปรียบเทียบให้ฟังตลอด ดิฉันก็ได้แต่บอกว่า คนเรามันแตกต่างกันจะให้ได้ดังใจเราทุกอย่าง มันไม่มี แม่ก็จะบอกว่า ทำไมสามีไม่รู้จักเอาอย่างสิ่งดีๆ ที่แม่ทำบ้าง ส่วนสามีพอโดนบ่นโดนว่าเขาเป็นคนไม่สนใจ จะบ่นก็บ่นไปไม่โต้ตอบ เพราะไม่อยากให้เป็นเรื่อง ดิฉันก็รู้ว่าคนแก่มักจะขี้บ่นแต่ก็ไม่คิดว่าจะบ่นได้ทุกเรื่อง เรื่องที่ดิฉันคิดว่าเล็ก ๆ แม่ก็ชอบโวยวาย และบ่นจนเป็นเรื่องใหญ่ ก่อนหน้าที่อยู่ด้วยกัน 2 คนกับแม่ก่อนแต่งงาน แม่ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน แม่ดิฉันเป็นคนปลง ไม่บ่นไม่ว่าใคร แต่พอย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกัน เปลี่ยนไปมาก จนดิฉันอึดอัดกับการอยู่กับแม่ ตอนแรกดิฉันเครียดกับเรื่องนี้มากจึงซื้อบ้านอีกหลังเพื่อให้แม่ไปอยู่ แต่พอบ้านเสร็จสามีคิดว่าน่าจะให้เช่าเพราะบ้านหลังที่อยู่ปัจจุบันหลังใหญ่ เกินที่จะอยู่กัน 2 คน แล้วถ้าแม่แยกตัวออกไป มันก็จะมีค่าใช้่จ่ายเพิ่มขึ้น และตอนนี้บ้านอีกหลังก็ปล่อยให้เช่าแล้ว แต่ปัญหาที่มีมันยาวนาน ประมาณ 2 ปี มันทำให้ดิฉันเสียสุขภาพจิตมาก และดิฉันไม่อยากให้ชีวิตครอบครัวดิฉันพัง และต้องการปรึกษาพระอาจารย์ดังนี้ค่ะ
ความต้องการ
1.ดิฉันควรจะให้แม่แยกไปอยู่คนเดียวที่บ้านอีกหลังหรือป่าวค่ะ บาปหรือป่าวค่ะ 2.ตอนนี้แม่ดิฉันมีรายได้ทางเดียวคือจากเงินเดือนดิฉัน และตอนนี้ดิฉันกำลังจะออกจากงานเนื่องจากไม่สะดวกเดินทาง คิดว่าจะหาค้าขาย แต่ถ้าให้แม่ย้ายออกไปดิฉันต้องหางานทำใหม่ เนื่องจากเงินเดือนสามีไม่พอที่จะจ่ายให้ได้ทั้งหมด 3.ถ้าพระอาจารย์บอกว่าปัญหานี้ให้คุยกันกับแม่ ดิฉันคุยแล้วแต่แม่ไม่ยอมรับ แม่จะเอาความคิดเห็นตนเองเป็นหลักเอาตัวเองเป็นมาตราฐาน ไม่รู้จะทำอย่างไร 4.เราจะเปลี่ยนแปลงความคิดเขาได้บ้างมั้ยค่ะ เพราะแม่ดิฉันจะเอาตัวเองเป็นมาตราฐานตลอด 5.การที่แม่มาพูดเรื่องลูกดิฉันว่ามีแล้วจะปัญญาอ่อน ก้าวร้าว ไม่ดี นั้นมันจะเป็นจริงมั้ยค่ะ เพราะแม่เคยบอกว่าถ้าคนเป็นพ่อเป็นแม่แช่งลูกแล้วจะเป็นจริง รบกวนให้แสงสว่างด้วยค่ะ ขอบคุณมากค่ะ ท่านพระอาจารย์
ชื่อผู้ถาม
Beer
วันที่เขียน
15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 23:10:52
จำนวนคนเข้าดู
3030

คำตอบ

คำตอบที่ 1
ให้คำแนะนำครับ ก่อนที่จะตอบปัญหาท่าน ผมเชื่อว่าท่นมีคำตอบในใจอยู่แล้ว จะอย่างไรก็ตาม เผื่อเป็นทางเลือกในการตัดสินใจครับ ๑. ตามข้อแรกกลัวจะเป็นการเพิ่มปัญหาใหม่ครับ เพราะท่านก็ไม่ได้อยู่บ้านตลอดเวลา ไปทำงานแล้วก็กลับมาเวลาได้พบปะพูดคุยกันก็ไม่มากเท่าไร ไม่อยากให้คิดว่าบาปหรือไม่ การแสดงควากตัญญูเป็นสิ่งที่เป็นมงคลอย่างยิ่งครับ ๒. ถ้าจะเปลี่ยนอาชีพ ต้องมั่นคงพอสมควรครับ ไม่เช่นนั้นจะทำให้เราชักหน้าไม่ถึงหลัง การทำอาชีพค้าขาย ก็ดีจะทำให้มีเวลาได้อยู่บ้านมากขึ้น และอาจทำให้แม่เข้าใจเรามากขึ้นครับ ๓. เราควรกำหนดตัวเองครับ เมื่อเราไม่สามารถควบคุมหรือกำหนดบุคคลอื่นได้ หลักของพุทธศาสนาให้ดูความคิดตัวเอง อย่าเอาสิ่งภายนอกตัวเรามาเป็นอารมณ์ ผมเชื่อว่าหลายครังคุณรู้และเข้าใจ แต่ก็เอาชนะกิเลสของตนเองไม่ได้ ฝึกทำบ่อยๆ ครับ ๔. แม่ท่านจะพูดอย่างไร ก็อย่าไปเอามาเป็นอารมณ์ถ้าเป็นสิ่งไม่ดี จะทำให้เราเศร้าหมองไปด้วย ๕. เรื่องลูกจะเป็นอย่างไรนั้น อยู่ที่การฝึกฝนเลี้ยงดูครับ เป็นเรื่องของอนาคต ถ้าเราให้ข้อมูลไม่ดีแก่ลูก ลูกก็จะเป็นเด็กไม่ดีได้ ในทางตรงกันข้าม เราต้องสอนสิ่งดี ๆ ให้เขาครับ ๖. ข้อสำคัญคัญ ขอแนะนำเด็กเรียนหนังสือไม่เก่งว่ายากสอนยาก ควรฝึกให้เขาใส่บาตรทุกวันพฤหัสครับหรือจะทุกวันที่เขาเกิดก็ได้ ทำเลยครับไม่ต้องรอ
ชื่อผู้ตอบ
อาจารย์ผู้ให้คำปรึกษา 44
วันที่เขียน
18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 06:54:59
คำตอบที่ 2
ขอบคุณพระอาจารย์ที่ให้แสงสว่างค่ะ
ชื่อผู้ตอบ
Beer
วันที่เขียน
26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 21:33:11
ทั้งหมด 2 รายการ
1 / 1
อ่านป้ายฉลากยา 10,000 รอบ แต่ไม่กินยา มันก็คงรักษาโรคอะไรไม่ได้
เช่นกัน แม้ว่าจะอ่านหนังสือ 10,000 เล่ม ฟังเทศน์ 10,000 เรื่อง ปรึกษาผู้รู้ 10,000 คน ประโยชน์ก็มีเพียงน้อยนิด
หากเราไม่ลงมือทำ ไม่ลงมือปฏิบัติ ไม่พยายามทำ การมัวแต่คิดอยากให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ไปเฉยๆ จะมีผลสำเร็จอะไร