ปรึกษาปัญหาชีวิต (สำหรับเจ้าของกระทู้)

หลานไม่ยอมเรียน
รายละเอียด
มีหลานชายอายุประมาณ 13 ปี แม่ตาย ไม่เคยเห็นหน้าพ่อตั้งแต่เกิด ภูมิลำเนาอยู่ ต.แม่น้ำคู้ จ.ระยอง เมื่อก่อนเคยเรียนอยู่ที่โรงเรียนนิคมพัฒนา และซ้ำชั้นมาแล้ว 2 ครั่ง ปัจจุบันเรียนไม่จบ ป.6 (ทั้งๆ ที่เหลืออีกแค่ 2 เดือนก็จะจบแล้ว) เนื่องจากไม่ไปโรงเรียนเลยเป็นเดือนๆ เพราะติดเกมส์ ติดเพื่อน (ซึ่งเป็นรุ่นที่โตกว่า) และคุณครูเคยเจอว่ากำลังเสพกัญชา โยมจึงรับมาอยู่ด้วยกันที่ เขตหนองจอก กรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม เพื่อที่จะให้มาซ้ำ ป.6 ที่นี่ แต่ดูแนวโน้มว่าจะเอาไม่อยู่ เนื่องจากชอบโกหก และชอบที่จะไปอยู่ที่มูลธินิราชพฤกษ์ (ทำหน้าที่เหมือนกับร่วมกตัญญู) เกรงว่าถ้าได้เรียนแล้วจิตใจจะไม่อยู่กับการเรียน แต่จะอยู่ที่มูลนิธิแทน และจะโดดเรียน ทั้งนี้ เจ้าที่หน้าที่ของมูลนิธิไม่ได้เรียนหนังสือกันหลายคน และไม่แน่ใจว่าจะมีผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดด้วยหรือเปล่า กลัวว่าหลานจะเดินไปในทางที่ไม่ดี ซึ่งดูจากนิสัยของหลานแล้ว เป็นคนไม่ค่อยพูด เวลาต่อว่าหรืออบรมก็จะนิ่งฟัง และรับคำ "ครับ ครับ" ตลอดเวลา แต่ถ้ามีโอกาสเมื่อไหร่ก็จะทำในสิ่งที่ได้ห้ามไว้ ซึงโยมและครอบครัวก็ต้องทำงาน ไม่ได้มีเวลาที่จะดูแลได้ตลอด 24 ช.ม.
ความต้องการ
อยากจะขอคำปรึกษาจากพระอาจารย์ว่า ถ้าหากจะให้หลานบวชภาคฤดูร้อนในช่วงที่รอเปิดเทอม จะสามารถช่วยขัดเกลาจิตใจได้บ้างหรือไม่ และถ้าจะบวชควรบวชที่ไหนดีคะ
ชื่อผู้ถาม
อ้อม
วันที่เขียน
11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 13:40:26
จำนวนคนเข้าดู
3183

คำตอบ

คำตอบที่ 1
บวชภาคฤดูร้อน ลองดูทีนี่ครับ http://www.watpanyanantaram.org
ชื่อผู้ตอบ
อาจารย์ผู้ให้คำปรึกษา 99
วันที่เขียน
15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 21:25:28
คำตอบที่ 2
ปัญหานี้ไม่น่าจะเดิกกับเด็กประถมครับ แต่เเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ต้องหาทางแก้ไข ขอแนะนำดังนี้ครับ ๑. การให้เด็กบวชภาคฤดูร้อนคิดถูกต้องแล้วครับ มีหลายแหล่งที่จัดบวช ๒. ก่อนจะถึงวันนั้น(วันที่จะได้บวช) ควรพาเขาใส่บาตรตอนเช้าทุกวันพฤหัสครับ หรือทุกวันที่ตรงกับวันเกิดของเด็ก อาจจะเห็นผลเร็วกว่าที่จะได้บวช(ให้เขาได้ทำบุญในวันที่เขาเกิดทุกสัปดาห์) ท่านก็ได้และเด็กก็จะได้รับอานิสงส์ด้วย เริ่มลงมือปฏิบัติเลยครับ
ชื่อผู้ตอบ
อาจารย์ผู้ให้คำปรึกษา 44
วันที่เขียน
16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 21:01:21
คำตอบที่ 3
๑.กอดทุกวัน กอดบ่อย ๆ ไม่ว่าเขาจะทำถูกหรือทำผิด โดยเมื่อเขาทำถูก ให้กอดแล้วพูดว่า "เยี่ยมมากลูก หนูทำดีแล้ว และจะทำได้ดีกว่านี้อีก" และเมื่อเขาทำผิด ให้กอดแล้วพูดว่า "ไม่เป็นไรลูก ทุกอย่างแก้ไขได้ ลองทำอย่างนี้ดีไหมลู๊ก...(สิ่งใดควรทำก็ให้พูดต่อไป)" ๒.ให้เขารู้ว่าทุกคนรักเขา โดยการให้เวลากับเขา เพราะเป็นสิ่งที่เขาต้องการที่สุด ยิ่งถ้าเวลาเป็นสิ่งยากสำหรับผู้ปกครอง ดังน้น หากผู้ปกครองมีเวลาอยู่กับเขาบ้าง ไปเที่ยวกับเขาบ้าง เด็กจะสัมผัสได้ เพราะเด็กจะไม่ทำตามที่เราบอก แต่จะทำตามสิ่งที่เราทำ เหมือนกระจกเงา ๓.ให้เขารู้ว่าเขามีคุณค่า โดยการจับถูก (ไม่จับผิด ไม่ตอกย้ำสิ่งที่ผิด) และ ชื่นชมข้อดีแม้เพียงเล็กน้อยด้วยความจริงใจ เช่น การที่เขาไปที่มูลนิธิ ชื่มชมว่าเขาเป็นเด็กมีน้ำใจ มีจิตอาสา อยากช่วยผู้อื่นซึ่่งเป็นสิ่งที่หายากในสังคมปัจจุบัน แต่หากเขามีความรู้ความสามารถมากกว่านี้เขาก็จะช่วยคนได้มากกว่านี้ หรืออะไรประมาณนี้ ๔.ให้เขารู้ว่าเขาเป็นคนที่สังคมต้องการ โดยการฟังเขาพูด ไม่ใช่พูดให้เขาฟัง ฟังอย่างตั้งใจ ฟังและให้ได้ยินเสียงของเขา โดยปราศจากอคติ มีแต่ความรักหลั่งไหลออกมาจากใจของเราผู้ฟัง ฟังให้ได้ยินเสียงความรู้สึกของเขาว่า เขาต้องสู้กับปัญหาอันยิ่งใหญ่เพียงใดที่ขาดพ่อ ๕.ให้เขาเล่าให้ฟังบ้าง โดยถามเขาว่า วันนี้หนูได้ช่วยใครบ้างน๊า ๖.วิธีอื่นใดก็ได้ที่ออกมาจากความรักซึ่งคุณยายมีอยู่แล้ว โดยให้ออกมาเป็นคำพูดที่อ่อนโยน (ไม่ด่า ไม่กระแทก ไม่ตวาด) การกระทำที่ละมุนละไม (ไม่เกรียวกราด) และแววตาอันห่วงใย
ชื่อผู้ตอบ
อาจารย์ผู้ให้คำปรึกษา 88
วันที่เขียน
25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 06:37:35
ทั้งหมด 3 รายการ
1 / 1
อ่านป้ายฉลากยา 10,000 รอบ แต่ไม่กินยา มันก็คงรักษาโรคอะไรไม่ได้
เช่นกัน แม้ว่าจะอ่านหนังสือ 10,000 เล่ม ฟังเทศน์ 10,000 เรื่อง ปรึกษาผู้รู้ 10,000 คน ประโยชน์ก็มีเพียงน้อยนิด
หากเราไม่ลงมือทำ ไม่ลงมือปฏิบัติ ไม่พยายามทำ การมัวแต่คิดอยากให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ไปเฉยๆ จะมีผลสำเร็จอะไร