ปรึกษาปัญหาชีวิต (สำหรับเจ้าของกระทู้)

ครอบครัว
รายละเอียด
สวัสดีค่ะ คือไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นกล่าวอย่างไรดี งั้นหนูขอเล่าเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันนี้นะคะ หนูมีปัญหากับพ่อค่ะ คือเรื่องมันเกิดที่ว่า พี่สาวคนละแม่(บ้านใหญ่)เขามาบรรจุของที่บ้านของเขาค่ะ (ซึ่งบ้านหนูและเขาติดกัน เขามารับของที่บ้านหนูไปบรรจุขายอีกที ) หนูเพิ่งขับรถกลับมาจากส่งของที่ชลบุรีกับแม่ ก็เจอกันพอดี แล้วคนงานที่บ้านหนูเขากำลังเอาภาชนะที่พี่สาวขอยืมไปใส่ของ (คือมันเลอะ) เอาไปทำความสะอาด หนูเจอหนูก็ถามว่า ปกติคนงานเขามาล้างไม่ใช่หรอ พอพ่อหนูได้ยินเขาก็บอกว่าอะไร ของแค่นี้ล้างให้กันไม่ได้เลยหรอ จะแบ่งแยกอะไรนักหนา เขาทำงานยังไม่เสร็จจะให้เขาทำตรงนี้ได้ไง ช่วยเขาหน่อยไม่ได้หรอ งั้นฉันต้องไปล้างเองไม๊ หนูก็ไม่รู้ว่าเขายังทำงานไม่เสร็จ พ่อก็บอกว่าทีเขายกของจากรถลงมาให้หล่ะ เขายังทำให้ เยอะมากอ่ะค่ะ หนูร้องไห้ กล้ำกลืนกับสิ่งที่คนที่ได้ขึ้นซื่อว่าเป็นพ่อพูดออกมา หนูพูดอะไรไม่ออก เขาว่าหนู แพศยา หัวขี้เรื่อย อยากตัดพี่ตัดน้อง ไม่ต้องขายของ จะเอาแบบนั้นใช่ไม๊ เขาก็บอกว่า มึงคิดอะไรของมึง ท่าทางพ่อโกรธหนูมาก คือหนูสับสนค่ะ ว่า คนเราทำธุรกิจไม่คิดจะมีต้นทุนอะไรเลยหรอคะ เชื่อไม๊คะ เขารับของที่บ้านหนูไปบรรจุใหม่ ต้นทุนของ พ่อก็บอกแม่หนูว่าให้คิดราคาต้นทุน ยังไม่พอ เรื่องทำความสะอาดข้าวของเครื่องใช้ เขาก็ต้องมาล้างที่บ้านหนูหมด หนูไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยนะคะ เป็นเวลาเกือบ 10 ปี ที่เขารับของไปขาย เขาไม่เคยใช้น้ำที่บ้านเขาสักนิดเลยค่ะ ค่าน้ำยาทำความสะอาดอะไรก็แล้วแต่ ไม่เคยเสียเงินซื้อ มีแต่เอาที่บ้านหนูตลอด และก่อนที่จะเกิดเรื่องค่ะ พ่อโทรศัพท์มาบอกแม่ว่าให้หนูขับรถไปรับคนงานพี่มาทำงาน(บรรจุของ) แต่พอดีหนูต้องไปส่งของก็เลยไม่ได้ไปรับ ยังไม่พอค่ะอุปกรณ์พี่เสีย ก็จะมาขอใช้อุปกรณ์ที่บ้านหนู เขาก็ถามว่ามีอะไรกัน หนุก็บอกว่าเปล่า แล้วหนูก็บอกว่า จะทำอะไรก็รีบทำแล้วก็กลับไปซะ (หนูรู้ตัวว่าไม่ควรพูดไปอย่างนั้น เขาอายุ 30 กว่าแล้ว หนูแค่ 22 ) พี่ได้ยินเขาก็โกรธ เขาเรียกให้หนุไปนั่ง เขาก็บอกว่าพูดแบบนี้พี่ไม่ชอบ แล้วเขาก็ร่ายยาวเลยค่ะ พ่อก็นั่งอยู นั่งฟังเฉยๆ เขาก็รื้อเรื่องขึ้นมา เขาบอกว่า คิดว่าตัวเองเก่งแล้วหรอ แค่ขับรถได้เนี่ย นี่หรือคนจบปริญญาตรี ปีกกล้าขาแข็งแล้วจะตัดพี่ตัดน้อง เยอะค่ะ แต่หนุก็ขอโทษเขาไปแล้วนะคะ(แบบไม่เต็มใจ) ปัญหาเรื่องราวมันเยอะ แต่หนุพูดออกมาไม่ได้ค่ะ หนุเจ็บใจตัวเองมากที่ต้องนั่งฟังคำพูดต่างๆนานาเข้าหู เชื่อไหมคะพี่คนนี้เขาเคยขับรถพาคนงานผู้ชายนั่งไปห้าง แล้วเผอิญน้องของหนูเห็นว่าเป็นรถพี่ ขับตามอยู่ข้างหลัง น้องก็บอกพ่อ พ่อก็เลยโทรถามว่าพี่อยู่ไหน คือแม่หนูกำลังขับรถไปส่งพ่อที่บ้านพ่ออ่าค่ะ ก็คิดว่าถ้าเจอพี่ จะได้ให้ไปด้วยกันเลย จะได้ไม่ต้องขับไปส่งถึงบ้านเพราะมันดึก(บ้านหนูอยู่ ตจว. พ่ออยู่ กทม.) ปรากฏว่าพี่บอกพ่อว่าอยู่ห้าง แต่หนูกับน้องมั่นใจมากค่ะว่ารถคันที่อยู่ด้านหลังคือรถของพี่ เพราะหนูจำทะเบียนได้ แล้วรถพี่ก็แซงไปค่ะ แม่ก็บอกว่า อ้าวนี่รถ..พ่อบอกจำทะเบียนไม่ได้ คือพ่อเขาปกป้องลูกเขามากจนหนูคิดว่าหนูคงไม่ใช่ลูกเขาอ่าคะ ค่าเทอมซักเทอมเขายังไม่เคยจ่ายให้หนูและน้องเลยอันนี้หนุก็พอเข้าใจค่ะ เพราะพ่อมีปัญหา ไม่สามารถทำธุรกิจได้และอายุเยอะแล้ว แต่หนูไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องพาลูกเขามาเอารัดเอาเปรียบที่บ้านหนูนัก เชื่อไหมคะลูกสาวพ่อ 2 คน(พี่สาวของคนที่หนูพูดไปข้างบนค่ะ) คนแรกเอาของที่บ้านไปขาย ไม่จ่ายเงินเลย ติด 3แสนกว่า อีกคน ก็อีลอบเดิม ติดเป็นแสนเหมือนกัน แต่เวลาแม่หนูโทรไปถามเรื่องเงิน เขาก็บอกว่าไม่มีๆๆ แต่เขาไปทำบุญเยอะมากเลยนะคะทั้งหนังสือสวดมนต์อะไรต่อมิอะไรแจกไปทั่ว ใช้ข้าวของดีๆ ขับเบนซ์, เคยมีอยู่ครั้งนึงค่ะ ญาติพ่อมาที่บ้าน เขาก็ถามว่าเรียนถึงไหนแล้ว หนูก็ว่าจะเอนฯปีหน้าแล้ว เขาถามว่าอยากเรียนอะไร หนูก็ตอบไปอย่างไม่เจียมตัว ว่าอยากเป็นหมอ เขาก็ถามว่าหมออะไร เชื่อไหมคะ พ่อโพล่งขึ้นมาว่า หมอนวด หนูหน้าชามากค่ะ แล้วตอนที่ย้ายบ้าน ตอนนั้นหนูอายุประมาณ 12 ปี พ่อให้ย้ายมาอยู่กับแม่ ตอนเด็กหนูอยู่กับลุงและป้าค่ะ เพราะแม่ต้องทำงานหาเงิน ถึงวันเสาร์ หนุก็อยากกลับไปนอนค้าง หนุก็รู้ตัวค่ะว่างี่เง่า เพราะแม่ก็ยังทำงานไปเสร็จ พ่อก็โมโห บอกว่าอยากกลับไปนักก็ไป ลูกสาวชั้นมีหลายตนแล้ว ไม่มีแกสักคนคงไม่เป็นอะไร คำพูดทุกคำ ทุกครั้งที่เกิดเรื่อง หนูจำได้ดี หนูยังเก็บไว้ก้นบึ้งของสมองตลอด เชื่อไม๊คะ ที่หนูเรียนจบ หนูเรียนเพราะความแค้น หนูคิดว่าซักวันหนูจะต้องตัดปัญหาเสื่อมพวกนี้ ให้แม่และน้องของหนูเป็นอิสระ แม่สอนให้หนู อดทน ให้ใจเย็นเข้าไว้ เพราะการใช้อารมณ์มันมีแต่เสียกับเสีย แต่หนูทำใจลำบากมากๆค่ะ เจอมาแต่ละอย่าง หนูเรียนหนังสือหนูก็ต้องทำงานไปด้วย หนูกลับจากเรียนก็ต้องไปทำงานทั้งชุดนักศึกษา โยนของที่ร้านขายของซึ่งก็มีแต่คนงานพม่า แต่หนูรู้ค่ะว่ามันคือหน้าที่ไม่ทำก็ไม่มีเงินเรียน ) แต่ก่อนขับรถไม่เป็น แม่หนูต้องขับอยุคนเดียว บางวันส่งของกลับบ้านดึกเรา 3 คน ก็ต้องจอดรถนอนกันข้างทาง ผลัดกันเฝ้า แล้วตอนที่แม่หนูป่วยเป็นอะไรที่ลำบากมากค่ะ หนูขับรถไม่เป็น ต้องอาศัยให้ผู้ใหญ่ข้างบ้านพาแม่ไปหาหมอ พ่อมาเยี่ยมแล้วก็กลับไป และมีช่วงหนึ่งค่ะที่บ้านมีปัญหาทางธุรกิจ ลุกค้าติดเงินเยอะมาก ซึ่งก่อนหน้านี้ พ่อให้พี่(คนที่พูดไปข้างบน) ดิวงานกับลูกค้า ปรากฏว่าทวงเงินลูกค้าไม่ได้ ยอดหนี้เสียเกือบล้าน รู้ไหมคะ พ่อทำยังไง พ่อโยนบิลและเช็คลูกค้าที่เรียกเก็บไม่ได้ใส่แม่ แล้วบอกว่า ไปจัดการเอง ชั้นไม่ยุ่ง หนูอยู่ในเหตุการณ์ค่ะ เป็นอะไรที่ปัดความรับผิดชอบสุดๆ ผลสุดท้ายแม่ก็ตามเงินกับมาจนครบใช้เวลาเกือบ 3 ปี ยังไม่พอค่ะ แม่คิดจะทำผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ออกขาย พ่อก็บอกแม่ ว่าขอให้พี่(คนข้างบน)หุ้นด้วย พ่ออยากให้พี่มีธุรกิจเป็นของตัวเอง แม่หนูก็ให้ค่ะ ทุกคนในบ้านช่วยกันทำงาน แพ็คของกันที่บ้านหนูค่ะ เขาแทบไม่มีรายจ่ายเลย พ่อก็เห็นดีเห็นงามด้วย นานๆเข้าลูกค้าสั่งของ พี่บอกไม่ว่างติดธุระ ไปนู่ไปนี่ แม่โดนลูกค้าว่า แล้วก็เลิกทำ ของที่เบิกไปพี่ก็ไม่จ่าย ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยังมีอีกเยอะค่ะ อ้อ แล้วพี่คนนี้ก็เหมือนกับบรรดาพี่น้องเขาคนอื่นๆนะคะ พากันไปทำบุญเยอะ และบ่อยมาก ทุกวันนี้สับสนกับการทำความดี
ความต้องการ
หนุอยากรู้ค่ะว่าการกระทำของหนูมันผิดใช่ไหมคะ พ่อด่าหนู หนุไม่ควรโกรธใช่ไหมคะ หนูควรทำตัวในสภาพสังคมที่หนูเจออย่างไรดีคะ หนุสับสน แยกไม่ถูกว่าอันไหนควร อันไหนไม่ควร
ชื่อผู้ถาม
liw
วันที่เขียน
22 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 17:39:30
จำนวนคนเข้าดู
1865

คำตอบ

คำตอบที่ 1
1. เรื่องการทำธุรกิจการงานนั้น ไม่แน่ใจว่าพ่อหนูร่วมลงทุนให้มากน้อยขนาดไหน เขาก็เลยคิดว่า มันควรแผ่ให้ลูกคนอื่น ๆ ของเขาด้วย 2. จริง ๆ ญาติพี่น้องกัน ควรช่วยเหลือกัน ไม่ควรเอาเปรียบกันนะ 3. หากมีการพูดคุยแบบพี่น้อง กันเอง ตรงไปตรงมา มันน่าจะดีกว่านะ ในทุก ๆ เรื่อง ไม่ใช่ปล่อยเลยตามเลย หนูและแม่หนูก็ควรคุยกับพ่อหนูอย่างจริงจัง 4.พ่อหนูไม่ว่าจะอย่างไร เราก็เคารพและไม่กระด้างกระเดื่อง เคารพและนอบน้อมไว้ดีที่สุด พ่อของเรา จะดีจะเลว ก็คือพ่อ เราตัดไม่ขาดหรอก มีอะไรที่จะช่วยทำให้พ่อสบายใจได้ เราก็ควรทำ แม้ว่าเราจะรู้สึกว่า เขารักเราน้อยกว่าลูกอีกคนก็ตาม 5. การทำอะไรด้วยความเกลียดหรือความแค้น มันคือการก่อไฟเผาไหม้ตัวเองในระยะยาว การต้องการเอาชนะใครอื่นนั้น มันเพาะนิสัยให้เรากระด้างและต้องการโชว์อวดอ้างว่า ชนะ หรือเหนือกว่า มันไม่เป็นผลดีกับตัวเราเอง เราควรทำทุกอย่างด้วยสติปัญญา เห็นว่ามันมีประโยชน์และเป็นสิ่งที่ดี อย่าไปเก็บรักษาความแค้นเลย ปล่อยมันไป แผ่เมตตา ยกทุกอย่างออกจากใจเรา เราจะมีความสุข และเราจะสามารถแผ่ความสุขนี้ให้คนอื่นได้ด้วย 6. ความดี ไม่ใช่เรื่องที่สับสน ต้องแยกแยะให้ได้ บางคนทำดี เพราะถูกบังคับ เพราะต้องการเอาหน้าตา เพราะชื่อเสียง เพราะเข้าใจผิด ๆ ว่า มันดี ก็เลยทำ ก็มีเยอะแยะ 7. ทำใจให้เย็นลง พูดกับทุกคนตามความเป็นจริง คิดถึงอกเขาอกเรา ญาติพี่นอ้งเลือดเดียวกัน หากไม่ช่วยเหลือกันแล้ว จะไปรอช่วยเหลือใคร ให้คิดแบบนี้ คนเรามีคนขึ้นมีลง 8. ทำอย่างไรก็ได้ในแต่ละวันให้คนที่มาติดต่อมาพบปะมาพูดคุยกับเราแล้ว ให้เขาได้รับความสุขความสบายใจกลับไป นั่นแหละ ถือว่า เราโอเคแล้ว
ชื่อผู้ตอบ
อาจารย์ผู้ให้คำปรึกษา 99
วันที่เขียน
23 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 23:37:14
คำตอบที่ 2
ขอขอบพระคุณอาจารย์มากๆเลยนะคะสำหรับทุกๆคำปรึกษา และต้องขอโทษด้วยนะคะสำหรับคำปรึกษาที่หนูพิมพ์ไป ซึ่งอาจใช้คำที่ไม่สุภาพ ไม่เหมาะสมนัก (หนูเพิ่งอ่านเจอตรงหน้าเพจค่ะ ว่าเป็น"พระ"อาจารย์ที่ให้คำปรึกษา ขอโทษนะคะที่ใช้คำไม่ถูกกาละเทศะ ^^) ธุรกิจที่บ้านหนู เป็นของแม่หนูค่ะ แม่เพิ่งมาทำธุรกิจนี้ตอนรับหนูและน้องมาอยู่ด้วยกัน พ่อไม่ได้ร่วมลงทุนให้ แม่ต้องขายบ้านใน กทม. ซึ่งบ้านหลังนี้ แม่ทำงานเก็บเงินผ่อนเองค่ะ ขายบ้านได้ เงินส่วนนึง พ่อเขาดึงไปใช้ในเรื่องคดีความ(ซึ่งเป็นธุรกิจของพ่อเอง) ส่วนเงินที่เหลือ แม่เอามาซื้อตึกแถวเพื่อที่จะค้าขายได้และพื้นที่ด้านข้างตึกเพื่อสร้างโรงงานขนาดเล็กๆ (บ้านหลังที่ 2 นี้แม่ก็เอาเข้าธนาคารนะคะ เพื่อเอาเงินออกมาใช้จ่าย) ตอนตกแต่งบ้าน ค่าปูกระเบื้อง เจ้าของตึกเขายังออกให้แม่หนูก่อนเลยนะคะ ใจดีมากๆ ตอนแรกทำธุรกิจนี้ กระท่อนกระแท่นมาก หนูกับน้องก็ยังเด็ก ลูกค้าก็แทบไม่มี ไปขายของหน้าโรงงานบ้าง บางครั้งจำต้องโกหกว่ารู้จักคนนั้นคนนี้ในโรงงาน เพื่อที่จะได้เอาของเข้าไปขาย แม่ออกหาลูกค้าตามตลาด บางที่ก็ให้พ่อขับรถพาไป พอไปถึง พ่ออยู่บนรถค่ะ แม่เดินหิ้วของหาลูกค้าเอง ส่วนเรื่องแผ่ไปให้ลูกคนอื่นๆของพ่อ พ่อเตรียมให้ลูกเขาเรียบร้อยค่ะ เวลาลูกของพ่อพูด เขาก็จะบอกว่า มาช่วยกัน แต่การช่วยกัน แม่หนูต้องจ่ายเงิน 500 บาท ต่อการส่งของเพียงไม่กี่ชั่วโมง (น้ำมันรถเก็บแยก) และลูกค้าบางรายจำเป็นต้องส่งของตามเวลาใช่ไหมคะ จริงๆแม่หนูขับรถส่งเองก็ได้ แต่พ่อก็บอกว่าให้พวกเด็กๆ(ลูกพ่อ)มาช่วย เขาจะได้มีผลงานกัน และแล้ว ส่งของกี่ครั้งๆไปสายทุกครั้งบางครั้งนู่นค่ะ พุ่งไปเกือบ 2 ทุ่ม ลูกค้านัด 4 โมงเย็น พอโทรถาม บอกรถติดบ้าง ไปรับเพื่อนบ้าง ไปๆมาๆก็เหมือนเป็นความผิดของที่นี่(บ้านหนู) จริงๆแม่ก็ไม่เคยที่จะไปขอความกรุณา ให้เขามาส่งของเลยนะคะ แม่หนูก็บอกอยู่ว่าถ้ามีงานกัน หรือติดธุระ ก็ไม่ต้องมาหรอก เพราะทำเองได้ พูดเพื่อรักษาน้ำใจพ่อด้วยซ้ำ พอหนักเข้า ไปไม่ตรงเวลาเข้ามากๆ ลูกค้าโทรมาโวยวาย พ่อกลับตอบไปว่า ให้รู้จักจ่ายค่าโอทีบ้างสิ (OT=overtime ) สรุปเป็นความผิดของลูกค้าซะอย่างนั้น ตอนที่แม่กับหนูขับรถไปส่งของกันเอง (ลูกค้าเจ้าเดียวกัน) ออกจากบ้านช้ากว่าที่ลูกของพ่อขับออกซะอีก แต่ก็ส่งทันเวลา ไปถึงก่อนเวลาด้วยซ้ำ สำหรับเรื่อง พี่น้องกันควรช่วยกัน พระอาจารย์คะ หนูขอเรียนด้วยความสัตย์จริง ไม่ว่าจะ แม่ หนู หรือน้องของหนู ทุกคนในบ้าน คอยช่วยเหลือบรรดาลูกๆของพ่อตลอดนะคะ ไม่มีใครคิดจะละเลยหรือมองข้ามค่ะ ช่วยจนแบบที่ว่า หนูสงสัยว่าหนูเนี่ย อยู่ในสถานะเดียวกะลูกของพ่อคนอื่นๆไม๊ อย่างเมื่อไม่กี่ปีก่อนแม่บังเอิญเจอเจ้าของร้านอาหารรายหนึ่งเขาจะย้ายไปที่อื่น เขาเลยชวนให้แม่มาเซ้งร้านต่อจากเขา แล้วเสียค่าเช่าให้เจ้าของที่เดือนละไม่กี่พันบาท ตอนนั้นแม่ไม่มีเงินก็เลยเล่าให้พ่อฟังว่าน่าสนใจ พ่อก็เลยชวนพี่สาวคนที่กล่าวถึงกระทู้ข้างบนอ่าค่ะ(หลังจากงานขายผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ที่แม่หนูคิดจะเปิดตลาดอ่ะค่ะ ข้าวของเงินทองยังเคลียร์กันไม่หมด) ว่าให้มาทำตรงนี้ไหมหุ้นกับแม่ของหนูก็ได้ แต่อย่างที่บอกไปแม่หนูไม่มีเงิน อีกอย่างงานที่บ้านก็ไม่แน่ไม่นอน ก็เลยไม่ขอหุ้นด้วย แต่แม่ก็ช่วยอุปกรณ์ ข้าวของเครื่องใช้บางส่วนให้กับพี่ เพราะลำพังพี่สาวไหนจะซ่อมร้าน ตกแต่งร้านก็หมดเยอะอ่าค่ะ แม่ก็เลยให้ยืมเครื่องชงกาแฟ 2 ตัว เคาน์เตอร์บาร์น้ำ แก้วเบียร์ต่างๆ พ่อก็ให้แม่ไปช่วยค่ะ โดยเหตุผลที่ว่า ช่วยเด็กมันหน่อย ดูแลหน่อย เขาจะทำธุรกิจ (เด็ก!? พระอาจารย์คะ ลูกพ่อ อายุ 30 กว่าแล้ว) เรา 3 คนก็ไปช่วยค่ะ ตื่นเช้ามาก ไปเตรียมข้าวของ จัดร้าน รู้ไหมคะพี่เขามากี่โมง ในฐานะเจ้าของร้าน 10 โมง 11 โมงค่ะ มาถึงถามว่าขายได้ไหม ลูกค้าเยอะรึเปล่า ของบางอย่างแม่หนูต้องออกเงินจ่ายก่อน และรอเบิกคืนทีหลัง ของจุกๆจิกๆ แม่ก็ไม่ได้เบิกเอาเงินคืนนะคะ แรกๆ เอาคนงานที่บ้านไปช่วยยกข้าวของไปร้านอาหาร ทำความสะอาด ยืมคนงานไปช่วยงานที่ร้าน ไปนอนเฝ้า บ้านหนูกับร้านก็ห่างพอสมควร วิ่งรถประมาณ 10 นาที(อย่างเร็ว)วันไหนที่บ้านหนูมีงานเข้า ก็ต้องรอให้คนงานนั่งรถกลับมา พอบ่อยขึ้นแม่หนูบ่นกับพ่อ พ่อก็มาเฝ้าเองเลยค่ะ มานอนเอง(ไม่รู้ประชดหรืออย่างไร) แม่หนูเห็นสภาพแล้วก็เลยตัดปัญหาค่ะ ก็ให้คนงานที่บ้าน คนที่ไม่ค่อยรับหน้าที่เยอะนัก ให้เขามาเฝ้าร้านแทน และให้นั่งรถกลับแต่เช้าให้ทันเข้างาน ปัจจุบัน เขายังทำอยู่นะคะ แต่เขาหาจ้างลูกน้องเองแล้ว เครื่องชงกาแฟพังทั้ง 2 ตัว แม่บอกว่าถ้าไม่ใช้จะไปยกคืน เขาบอกพังยังไม่ได้ซ่อม ปัจจุบันก็ไม่ซ่อมมาคืน เอาของที่บ้านหนูไปขาย บ่อยครั้งที่ไปเอาของกับคนงานโดยไม่บอกเราก่อน จนคนงานต้องมาบอกถึงจะรู้และต้องโทรตามกันไป หนูว่าที่บ้านหนู ทุกคนไม่ได้ขาดตกบกพร่องนะคะสำหรับเรื่องการช่วยเหลือ ถึงแม้ที่บ้านจะไม่ค่อยทำบุญ แต่เราก็ช่วยเหลือคนที่มาขอความช่วยเหลือทุกครั้ง อาจมีบ่นบ้างตามประสาคนยังมีกิเลส อาจเพราะเหนื่อย หรือเกิดความรู้สึกน้อยใจในโชคชะตา แต่ดูผลที่ได้รับสิคะ การพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมา หนูรับรองได้ว่า พ่อ รับไม่ได้ 100 % แต่เดี๋ยวรอสักระยะหนึ่งให้น้องของหนูเรียนจบเรียบร้อยก่อน แม่เขาจะเป็นฝ่ายคุยกับพ่อเองค่ะเพราะแม่กลัวว่าลูกของพ่อจะไม่จ่ายเงินค่าของที่เบิกไปขาย เขาจะอ้างได้หากมีปัญหากัน แม่หนูพูดไว้แล้วว่าจะให้หนูกับน้องไปเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนนามสกุล จะได้ตัดปัญหากันไป หมดเวรหมดกรรมกัน ไม่ยุ่งเกี่ยวกันอีก ส่วนเรื่องของพ่อ หนูยังเคารพอยู่ค่ะ ถ้าเจอก็ไหว้ อย่างน้อยเขาก็มีส่วนทำให้หนูและน้องเกิดมา ให้เกิดมาอยู่เป็นเพื่อนกับแม่ ช่วยเหลือแม่ เดี๋ยวนี้หนูจะไม่ทำอะไรเกินตัวแล้วค่ะ ถ้าอันไหนมันเกินความสามารถหนู หนูก็จะให้แม่ตัดสินให้ว่าควรหรือไม่ควรทำ ส่วนการทำใจให้เย็นลง หนูจะพยายามนะคะ ขอขอบพระคุณอาจารย์อีกครั้งนะคะสำหรับคำสั่งสอน หนูจะตั้งใจตั้งสติทุกครั้งก่อนทำอะไรก็ตาม ^^
ชื่อผู้ตอบ
liw
วันที่เขียน
25 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 02:09:29
ทั้งหมด 2 รายการ
1 / 1
อ่านป้ายฉลากยา 10,000 รอบ แต่ไม่กินยา มันก็คงรักษาโรคอะไรไม่ได้
เช่นกัน แม้ว่าจะอ่านหนังสือ 10,000 เล่ม ฟังเทศน์ 10,000 เรื่อง ปรึกษาผู้รู้ 10,000 คน ประโยชน์ก็มีเพียงน้อยนิด
หากเราไม่ลงมือทำ ไม่ลงมือปฏิบัติ ไม่พยายามทำ การมัวแต่คิดอยากให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ไปเฉยๆ จะมีผลสำเร็จอะไร