ปรึกษาปัญหาชีวิต (สำหรับเจ้าของกระทู้)

อยากตายมากไม่มีใครช่วยสักคน
รายละเอียด
ป่วยค่ะเลยต้องออกจากงานถูกหลอกโกงเงินอีกญาติพี่น้องก็ทิ้งแม้แต่พ่อแม่เองยังไม่ช่วยพอรู้ว่าออกงานไม่มีเงินเปนหนี้พ่อแม่พูดคำเดียวตายซะสิ...พ่อแม่จะได้เงินค่าศพ
ความต้องการ
อยากให้ก็ได้ช่วยทีหมดปัญญาแล้วจริงๆ ไม่มีทางออกมีแต่ทางตัดกำลังใจก็ไม่มีเลี้ยงลูกคนเดียวเงินก็ไม่มีพ่อแม่ยังให้ไปตาย ลูกไม่มีเงินไปโรงเรียนแล้วแบบนี้จะให้ทำยังไง ขอใครสักคนช่วยให้พ้นจากสภาพนี้สักทีเถอะ จะให้ทำอะไรก็ยอมช่วยทีเถอะ
ชื่อผู้ถาม
มัญชุวีร์
วันที่เขียน
7 มิถุนายน พ.ศ. 2560 08:47:30
จำนวนคนเข้าดู
994

คำตอบ

คำตอบที่ 1
(ให้ค่อย ๆ อ่าน ใจเย็น ๆ อ่านช้า ๆ ซ้ำ ๆ คิดตามไป )

ชีวิตคนเรา มีสุข มีทุกข์ มีได้ มีเสีย คละเคล้าผสมปนเปไปทุกวัน สิ่งนี้เป็นธรรมดา เพราะสติ เพราะปัญญาของคนเราไม่ได้เต็มเปี่ยมตลอดเวลา

ชีวิตคือปรากฎการณ์ชั่วคราว ชีวิตคนเรานี้สั้นมาก ๆ จงใช้ชีวิตนี้สร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามให้กับตนเอง คนอื่น สังคมและโลก ทำให้เต็มที่สุดความสามารถของเรา

เมื่อมีชีวิตอยู่ จงมีสติเต็มเปี่ยม พร้อมเผชิญกับทุกเหตุการณ์ ทั้งที่เราชอบ และไม่ชอบ ผิดหวังและสมหวัง เผชิญกับมันอย่างมีสติ มีปัญญา

ถ้าท้อแท้  อยากตาย  ไม่อยากอยู่  ให้นึกถึงแม่สุนัขตัวผอมโซหนังติดโครงกระดูก  มันวิ่งพล่านหากินไปทั่ว เผื่อจะมีอะไรให้ได้แทะได้กินบ้าง  แต่วิ่งทั้งวันก็ไม่มีอะไรให้กินเลย  แต่มันก็ยังวิ่งเอานมเหี่ยว ๆ โตงเตง ๆ นั้นมาป้อนให้ลูกของมัน  นี่คือความรักของแม่ต่อลูก มันยิ่งใหญ่มาก  เราเป็นคน เราต้องคิดได้ดีกว่า และทำได้ดีกว่าแม่สุนัขตัวนั้น

1. การป่วยไข้เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต เราต้องหาทางดูแลรักษาร่างกายเราให้ดีที่สุด ไม่ควรไปเกลียดร่างกายของเรา อย่าโกรธตัวเองที่เป็นแบบนี้  ร่างกายเราแย่แค่ไหน แต่จิตใจเราต้องไม่แย่ตาม ต้องดูมันเป็นเรื่องธรรมดาสามัญให้ได้ 

2. การถูกหลอก  ให้มองว่า เป็นเรื่องของการลงทุนซื้อความรู้ของเรา  เมื่อเรามีความรู้ไม่มาก เชื่อง่าย อ่านน้อย หรืออยากได้มากไป จึงไปหลงเชื่อแบบนั้น อย่าไปโกรธเคืองใคร ให้คิดว่า เราทำเหตุไว้แบบนี้ จึงเป็นแบบนี้ และต่อไป จะไม่ให้เป็นแบบนี้อีก

3. เรื่องพ่อแม่ของเรา  พ่อแม่เราน่าสงสารมาก เขาจึงพูดออกแบบมานั้น จริง ๆ เขาไม่ได้ต้องการให้เราตายอย่างที่พูดหรอก เขาแค่พูดประชดเราเพื่อระบายตามวิธีของเขาเท่านั้น (ซึ่งไม่ใช่วิธีที่ดี เราอย่าเลียนแบบตาม)  เราต้องมองให้ออก และให้อภัยพ่อแม่เป็น อย่าไปเคือง หรือโกรธพ่อแม่   ไม่ต้องไปเรียกร้องอะไรจากพ่อแม่ ถ้าเขาช่วยได้ เขาไม่ให้เราลำบากหรอก เขาช่วยไปนานแล้ว

เราต้องคิดว่า การที่พ่อแม่อดทนเหนื่อยยากสู้ชีวิตจนเลี้ยงเราจนเติบโตได้ จนเรามีร่างกายเติบใหญ่สามารถไปมีแฟนมีสามีได้นี่ก็ยิ่งใหญ่มากพอแล้ว แม่พ่อลำบากมากพอแล้วสำหรับเรา ดังนั้น ณ วันนี้  การที่พ่อแม่ไม่มีเงินให้เราจึงไม่ใช่ความผิดอะไรของพ่อแม่เลย และพ่อแม่ไม่ได้บกพร่องอะไรเลย  เขาทำดีที่สุดแล้ว เขาทำหน้าที่ได้สมบูรณ์มากพอแล้ว  ถ้าเขาทำไม่ดีพอ เราคงไม่ได้โตมาขนาดนี้ เราอาจเป็นอะไรไปก่อนจะพูดได้ ลืมตาได้ด้วยซ้ำไป 

4. หนี้ทุกก้อน เราต้องใช้ และหนี้ของเรา ถ้าไม่ถึง 1 แสนล้าน ก็ไม่มากหรอก  สามารถใช้คืนได้แน่นอน แต่ก็ต้องการเวลา 1-5 ปี ให้เราร่างกายแข็งแรงสักหน่อย แล้วก็ทำงานได้  ก็จะมีรายได้แล้ว

เราควรคุยกับเจ้าหนี้ตลอด คุยทุกราย ไม่หนี ไม่ปิดเครื่องหนีเขา บอกเขา  ขอผ่อนผัน ขอเลื่อนเวลาจ่ายคืน เรามีปัญหาอะไรก็บอกไป  แล้วเขาก็จะดำเนินการไปตามขั้นตอนของเขา คือ ทำหนังสือทวงหนี้ โทรตาม ก็ให้เขาทำไป ไม่ต้องไปรำคาญหรือหงุดหงิดใส่เขา  หรือระหว่าง 1-2 ปี ถ้าเรายังไม่ใช้คืน เขาก็อาจทำเรื่องฟ้องศาล  ซึ่งกว่าจะฟ้องร้องอะไรกันได้ ก็คงหลายปี  พอถึงขั้นศาล ก็มีการพูดคุยประนีประนอม หรือตกลงผ่อนชำระกันได้อีก ... มันไม่ได้เลวร้ายอะไรนักหรอก เราต้องเข้าใจ  อย่ากลัวอะไรมาก ตำรวจไม่มาจับเราหรอก เขาจับเราไม่ได้ เพราะสัญญายืมเราก็มี (ถ้าไม่มี ต้องรีบไปทำสัญญากัน) เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ และเราไม่หนี เพียงแต่ตอนนี้ เรามีปัญหา ยังจ่ายคืนไม่ได้เท่านั้น

อย่าอายใคร ที่เราเป็นหนี้ ไม่ต้องไปปิดอะไรใคร ที่เป็นหนี้ (ถ้ามีคนถาม)  เป็นหนี้ ไม่ต้องอาย เป็นเรื่องธรรมดา ๆ  เราแค่เป็นหนี้ เราไม่ใช่ฆาตกร และเราไม่หนีหนี้ แค่เรายังชำระหนี้ไม่ได้ และเราก็ติดต่อพูดคุยกับเจ้าหนี้ตลอด 

5. เรื่องกำลังใจ เราต้องสร้างของเราเอง อย่าไปหวังจากใคร อย่ารอใคร และใครจะพูดอย่างไร ก็อย่าไปเก็บมาตัดกำลังใจตัวเอง จริง ๆ คนอื่นเขาทำอะไรเราไม่ได้หรอก แต่หูของเรา และใจของเราต่างหาก ไปฟังแล้วเก็บเอามาซ้ำเติมหรือตอกย้ำตัวเอง ทำให้ห่อเหี่ยวใจ 

จริง ๆ เรื่องกำลังใจนี้ ตัวเราเองทำของเราเองทั้งนั้น  ไม่มีใครให้กำลังใจใครได้ ไม่มีใครทำลายกำลังใจของใครได้ มันเป็นเรื่องของเราเองล้วน ๆ

6. ลูกไม่มีเงินไปเรียน เราควรติดต่อไปที่โรงเรียน คุยกับ ผอ./ครูในโรงเรียนเรามีปัญหาอะไร-อย่างไร เล่าไปตามความเป็นจริง ขอความกรุณาเขาดู ไม่โกหกเขา เผื่อทางโรงเรียนเขามีช่องทางช่วยเราได้  ปกติโรงเรียนก็จะมีทุนการศึกษาต่าง ๆอยู่ ถ้าจะเดินทางไปโรงเรียน แต่ละวัน ต้องใช้เงินเท่าไหร่ ค่าอะไรบ้าง ก็บอกโรงเรียนไป เราควรติดต่อเอง และติดต่อบ่อย ๆ คุยให้รู้จริง อย่ารีบสรุปไปเอง เมื่อไม่เป็นแบบที่เราต้องการ อย่าหงุดหงิดรำคาญ

การพูดจาที่สุภาพอ่อนหวาน มักจะได้รับการตอบรับที่ดีเสมอ จงพูดให้เป็น พูดให้จริง ไม่ต้องไปแสดงละครให้เกินเหตุกับใคร

7. ความเข้มแข็งของเรา เราต้องเข้มแข็งให้ลูกเห็น อย่าแสดงอาการอ่อนแอออกมา เพราะลูกกำลังเรียนรู้ กำลังซึมซับ เขาต้องการแบบอย่างที่ดี 

เราต้องไม่โวยวาย ไม่ร้องไห้ ไม่พูดจากระแทกใส่ลูก ไม่ทำหน้าเศร้า ไม่ทำเป็นเครียด หงุดหงิด  เพราะนี่คือลักษณะคนอ่อนแอ
เราต้องยิ้มแย้มกับลูก และพูดคุยกับทุกคนด้วยจิตที่สงบ มั่นคง กอดและให้กำลังใจลูก เราลำบากชั่วคราวเท่านั้น ไม่นานก็จะผ่านพ้นไปได้   

8. อย่าเอาแต่โทษเวรกรรม เพราะทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นกับคน ๆ หนึ่งนั้น ตัวคน ๆ นั้น สร้างเหตุไว้ทั้งนั้น ถ้าไม่ทำเหตุแบบนั้นไว้ ผลก็จะไม่เกิดแบบนั้น  เราต้องกล้ามองทุกอย่างตามความเป็นจริง ยอมรับความเป็นจริง  และลุยแก้ปัญหาเราตามความเป็นจริง ไม่หลอกตัวเอง ไม่โกหกอะไรใคร

9. บริหารจัดการสิ่งที่มีให้เกิดประโยชน์สูงที่สุด  ลองสำรวจในบ้านพัก มีอะไรที่พอจะสละออกไปได้บ้าง เอาไปจำนำก่อน หรือเอาไปขายก่อนก็ยังได้  เช่น เสื้อผ้า เครื่องเสียง ทีวี มือถือ ตู้ โต๊ะ ฯลฯ ทุกสิ่งอย่างของนอกกาย  หาทางแปรออกไปเป็นเงินก่อน เพื่อจะได้นำมาจัดการชีวิตได้  อย่าหวงหรือเสียดายมากนัก

10. เราต้องหาทางช่วยตัวเราเองให้มากที่สุดก่อน อย่าไปหวังพึ่งใคร

การที่แม่พ่อช่วยเราไม่ได้ เขาก็อาจมีหนี้สินอะไรอื่นค้างอยู่  การที่คนอื่นเขาไม่ช่วยเรา ไม่ใช่ความผิดอะไรของพวกเขา เพราะบางทีเราก็ไม่รู้หรอกว่า คนพวกนั้น เขาย่ำแย่ เขามีหนี้สินที่เราไม่รู้อีกตั้งมากมาย คนที่ว่ามีฐานะมีรถมีบ้านใหญ่ ๆ นั้น เราไม่รู้เขาหรอก จริง ๆ เขาอาจมีหนี้มากกว่าทรัพย์สินที่เราเห็นหลายสิบหลายพันเท่าก็ได้ แต่ทุกคน ก็ต้องหาทางสู้ ดิ้นรนไป เพื่อให้อยู่รอดได้  ไม่เอาแต่โวยวาย ฟุ้งซ่าน

11. การคับแค้นใจ น้อยใจ เสียใจ จนไม่อยากอยู่ อยากทำร้ายตัวเอง (หรือแม้กระทั่งอาจคิดทำร้ายลูกไปด้วย) เพราะคิดว่า ทุกอย่างจะได้จบ ๆ ไปนั้น เป็นความคิดที่ผิดพลาด เป็นมิจฉาทิฐิ เป็นความมืดของเราเอง เราต้องยอมรับความจริงว่า ปัญหาของเรานั้นมันแก้ไขได้ และต้องการเวลาในการแก้ไข การคิดอยากตายนั้น แสดงว่า เราขาดธรรมะ ขาดการอบรมจิตให้มีธรรมะในช่วงเวลาที่ผ่านมา จึงออกอาการแบบนี้

การทำให้ตัวเองตาย ไม่ใช่การแก้ปัญหา แต่เป็นการสร้างปัญหาเพิ่ม และสะสมปัญหาต่อไปให้ยาวนานขึ้น  หนี้สินที่เราทำไว้นั้น หากเราทำให้ตัวเองตายไป ก็หนีหนี้ไม่พ้นอยู่ดี 


การทำให้ตัวเองตาย เป็นการปิดกั้นโอกาสดี ๆ ของชีวิตทุกอย่างลง เพราะถ้าเรายังมีชีวิตอยู่ เราสามารถสร้างบุญกุศลได้มากมายมหาศาลถึงขนาดเป็นอริยบุคคลก็ได้ ดังนั้น การคิดอยากตาย การพยายามทำให้ตัวเองตาย จึงเป็นวิธีที่ผิด มืดบอด และไม่พัฒนา 

เมื่อเรากำลังคิดผิด ๆ ก็ต้องปรับตัวเอง ให้กลับมาสู่หนทางที่ถูกต้องเสีย คือ มีธรรมะ มีสติ สร้างสติให้ตัวเองทุกวินาที และสร้างสภาพแวดล้อมในบ้านตัวเองให้มีธรรมะ   มีเสียงธรรมะ มีหนังสือธรรม ไม่เอาแต่วิ่งไปตามความคิดและความรู้สึกผิด ๆ จากศีลธรรม

รีบปรับแก้ความคิดเสีย คือมาสนใจธรรม ศึกษาธรรม ปฏิบัติธรรม ด้วยตัวเอง ที่บ้านเองนี่แหละ 
อ่านธรรมะ ฟังธรรมะ ฝึกจิตตามธรรมะ แล้วเราจะมั่นคง สงบ แม้จะมีกองไฟ 10 กองมาล้อมรอบตัวเรา เราก็จะหาทางแก้ปัญหาได้ ไม่ตีโพยตีพาย ไม่โวยวาย ไม่ร้องไห้ ไม่มองในแง่ร้ายว่า แก้ไม่ได้ 

ฝึกจิตให้ตัวเองตามนี้ 

http://buddhisthotline.com/index.php?page=frmnews5&newsid=306

ฟังธรรมะซ้ำ ๆ ฟังทุก ๆ วัน วันละหลาย ๆ รอบ ๆ ละ 30 นาที ฟังต่อเนื่องไปสัก 2 ปี เบื่อก็ทนฟัง ตั้งใจฟังให้เข้าใจ  
http://buddhisthotline.com/index.php?page=news7all

ดูตรงนี้ประกอบ
http://buddhisthotline.com/index.php?page=frmnews5&newsid=290

และตรงนี้
http://buddhisthotline.com/index.php?page=frmnews5&newsid=289

และตรงนี้
http://buddhisthotline.com/index.php?page=frmnews5&newsid=287

และตรงนี้
http://buddhisthotline.com/index.php?page=frmnews5&newsid=286

และตรงนี้
http://buddhisthotline.com/index.php?page=frmnews5&newsid=268

12. เรื่องเงินและงาน ระหว่างนี้ คงต้องอดทนที่สุด แต่ลองมองดูในสภาพแวดล้อมของเรานี้ เราพอทำอะไรออกขายได้บ้างไหม จะเลี้ยงเป็ด ไก่ได้ไหม สัก 5-10 ตัว จะปลูกผักได้ไหม สัก 1-2 แปลง จะรับตัดเย็บเสื้อผ้าได้ไหม ตัดผมได้ รับแต่งหน้าเสริมสวยได้ไหม ทำขนมง่าย ๆ ออกขายได้ไหม ทำอาหารออกขาย ทำของฝาก ทำงานศิลปะ งานประดิษฐ์ ฯลฯ 

คือต้องมองจากตัวเราเอง ทำอะไรเป็นบ้าง ถ้าไม่เป็น ก็ต้องฝึกหัดอ่าน หัดมอง ฝึกเรียนรู้ด้วยวิธีการต่าง ๆ และดูสภาพแวดล้อมของเรา  ถ้าเราทำอะไรแล้ว จะไปขายที่ไหน ฝากใครขาย  ราคาเท่าไหร่ อย่างไร 

เรื่องแบบนี้ มันต้องคิด และฝึก และทำกันได้ทั้งนั้น 
บางที งานที่เราทำเอง อาจมีรายได้ดีกว่า ไปเป็นลูกจ้างเขาก็ได้ 

แน่นอน ทุกสิ่งอย่าง ต้องการเวลา ต้องเหนื่อย ต้องฝึกให้มาก ๆ กว่าจะเก่งและชำนาญ 
ระหว่างที่ฝึกหัด ก็ต้องอดทนกันทั้งนั้น ถ้าไม่อดทน ทำอะไรก็ไม่สำเร็จหรอก

ที่สายด่วนชาวพุทธตรงนี้ คงให้ได้แต่แง่คิดและแนวทางในการแก้ปัญหา  เพราะไม่มีเงินทองมากมายไปมอบให้ใครได้ 
ส่วนตัวเรา ต้องดู และลุยแก้เอง อย่ายอมแพ้มัน อย่ายอมจำนนมัน ปัญหามีไว้ให้แก้ไข ไม่ใช่มีไว้ให้แบกมันไว้

ดูตรงนี้ประกอบ

http://buddhisthotline.com/index.php?page=frmnews6&newsid=217

และตรงนี้
http://buddhisthotline.com/index.php?page=frmnews6&newsid=210

และตรงนี้
http://buddhisthotline.com/index.php?page=frmnews6&newsid=209

และตรงนี้
http://buddhisthotline.com/index.php?page=frmnews6&newsid=212

ตั้งแต่บัดนี้ไป ให้ฝึกทำสิ่งที่ตัวเองไม่ค่อยได้ทำ และทำให้เป็นปกติตลอดไป 
คือ สวดมนต์ และแผ่เมตตาก่อนนอน  และสวดมนต์ก่อนออกจากบ้าน
หาโอกาสตักบาตรพระตอนเช้า ๆ บ้าง  ทำบ่อย ๆ ด้วยอาหารและวัตถุสิ่งของเท่าที่เราพอมี
ฝึกและทำตามที่แนะนำมานี้ให้ต่อเนื่องไปอย่างน้อย 12 เดือน  แล้วทุกสิ่งอย่าง จะดีขึ้นตามลำดับ






 
ชื่อผู้ตอบ
อาจารย์ผู้ให้คำปรึกษา 99
วันที่เขียน
7 มิถุนายน พ.ศ. 2560 09:57:18
ทั้งหมด 1 รายการ
1 / 1
อ่านป้ายฉลากยา 10,000 รอบ แต่ไม่กินยา มันก็คงรักษาโรคอะไรไม่ได้
เช่นกัน แม้ว่าจะอ่านหนังสือ 10,000 เล่ม ฟังเทศน์ 10,000 เรื่อง ปรึกษาผู้รู้ 10,000 คน ประโยชน์ก็มีเพียงน้อยนิด
หากเราไม่ลงมือทำ ไม่ลงมือปฏิบัติ ไม่พยายามทำ การมัวแต่คิดอยากให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ไปเฉยๆ จะมีผลสำเร็จอะไร