ปรึกษาปัญหาชีวิต (สำหรับเจ้าของกระทู้)

ครอบครัว
รายละเอียด
นมัสการพระคุณเจ้าเจ้าค่ะ วันนี้อยากขอคำชี้แนะจากท่านพระอาจารย์เจ้าค่ะ เมื่อก่อนตอนโยมเป็นเด็ก โยมรักพ่อมาก รู้สึกว่าท่านเป็นฮีโร่ ตอนนอนก็ชอบจับมือ หรือแตะแขน เพราะรู้สึกว่าอบอุ่นและปลอดภัยเสมอ จนเมื่อพ่อของโยมที่รับราชการอยู่ ย้ายไปทำงานในสายบริหาร ทำให้ต้องออกไปพบปะสังสรรค์กับคนนู่นคนนี้อยู่บ่อยครั้ง ไม่มีเวลาให้ครอบครัว อาทิตย์หนึ่งกลับบ้านมาสองวัน และจนกระทั่งเกิดปัญหา พ่อมีภรรยาน้อย ทำให้แม่ของโยมเจ็บช้ำน้ำใจ โยมเห็นพวกเขาทะเลาะกัน แม่ร้องไห้ ก็รู้สึกเสียใจและผิดหวัง ตอนนั้นโยมก็คิดว่ามันเป็นปัญหาของผู้ใหญ่ พ่อน่าจะคิดเองได้แล้วว่าอะไรถูกผิด และยิ่งไปกว่านั้น ไม่ใช่แค่ปัญหาเรื่องมีคนอื่น มีเรื่องเงินอีก แม่ของโยมเป็นคนหาเงินเพื่อใช้จ่ายทุกอย่างในบ้าน รวมทั้งค่าใช้จ่ายของพี่และตัวโยมเองด้วย พ่อไม่เคยให้หรือรับผิดชอบใดๆเลย แต่พ่อก็ไปกู้เงินหลักล้านมา โดยที่พวกโยมไม่รู้ และมารู้ตอนหลังที่พ่อหมุนเงินไม่ทัน ไม่มีเงินไปจ่ายเขา เงินเดือนติดลบ เงินมากมายพ่อเอาไปใช้เพื่อชีวิตที่สบายเพียงชั่วคราว โยมคิดว่าพ่อเห็นแก่ตัวมาก ใช้ชีวิตไม่เห็นใจลูกเมียเลย โยมอยากให้แม่หย่าขาดกับพ่อและอยากจะพาแม่ย้ายบ้านออกมา เพราะที่เป็นอยู่แม่ไม่มีความสุขเลย ทนอยู่กันไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น และจากหลายๆ เหตุการณ์ทำให้โยมรู้สึกผิดหวัง สมเพช ขยะแขยง และหมดศรัทธาในตัวพ่อของโยมเอง ไม่อยากพูด ไม่อยากมองหน้า ไม่อยากให้แตะตัวค่ะ และนี้คือประเด็นที่อยากขอคำชี้แนะจากพระอาจารย์ค่ะ ความรู้สึกของโยมที่มีต่อพ่อ ก็รู้นะคะว่ามันไม่ดี คนเราพลาดกันได้ แต่มันก็ห้ามความรู้สึกเหล่านี้ไม่ได้ บางครั้งก็รู้สึกผิดบางครั้งก็ไม่ สับสนไปหมดพาลทำให้เครียด อยากก้าวไปข้างหน้า ข้ามผ่านความรู้สึกเหล่านี้แต่ก็ทำไม่ได้ พระอาจารย์ช่วยชี้แนะด้วยเจ้าค่ะ ไม่รู้จะจัดการกับมันยังไงแล้ว นมัสการขอบพระคุณเจ้าค่ะ
ความต้องการ
ช่วยชี้แนะวิธีจัดการความรู้สึกของโยมที่มีต่อพ่อ
ชื่อผู้ถาม
เอ
วันที่เขียน
22 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 18:28:24
จำนวนคนเข้าดู
809

คำตอบ

คำตอบที่ 1
1. เรื่องเลิกกันนั้น ควรให้พ่อแม่ของเราคุยกัน และวางแผนร่วมกัน จะแบ่งปันทรัพย์สินอย่างไรให้ลงตัว  เขาแต่งกัน เขาจะเลิกกัน ก็สองคนนั่นแหละคุยกัน เราเป็นลูก คงจะไม่ควรไปบอกให้เขาเลิกกัน

2. เรื่องความรู้สึกของเราต่อพ่อ เราไม่ผิดหรอกที่รู้สึกแบบนั้น ไม่ว่าจะด้านดีหรือไม่ดีกับพ่อเรา เพราะพฤติกรรมพ่อของเรามันแสดงเด่นชัดแบบนั้น  

3. ทุกคนมีกรรมเป็นของตัวเอง พ่อทำแบบนั้น พ่อก็ได้รับกรรมแล้ว คือเดือดร้อน หาเงินไม่ทัน ลูกเมียไม่นับถือ 
พวกเราก็มีกรรมของเรา ถ้าอยู่แบบนี้ จำนนแบบนี้ ก็ต้องทุกข์แบบนี้ ยืดเยื้อไปแบบนี้ แต่ถ้าเลือกไปทางอื่น ก็อาจจะดีกว่าจริง ๆ ก็ได้ เราต้องกล้าคิด กล้าคุยกับแม่ของเรา ทางไหนก้าวหน้าก็คุยและลุยทำ

4. ถ้าแม่ เรา พี่ ย้ายออกไปได้ ถ้าคิดว่า มันจะดีกว่า ก้าวหน้ามากกว่า ก็คุยกันได้ ส่วนปัญหาของพ่อ เช่น หนี้สิน เมียใหม่ ก็ให้พ่อเขาจัดการเอง  แต่ในวันข้างหน้า หากเราพอมีกำลัง จะมาช่วยเหลือพ่อก็เป็นสิ่งที่ดี 

-------
ดูตรงนี้่ประกอบ
http://buddhisthotline.com/index.php?page=frmnews5&newsid=286

ชวนแม่ไปศึกษาธรรมที่วัด ก็จะดีมาก ช่วยได้มาก (ยิ่งทุกข์ ยิ่งควรไป) ไปครั้งละ 3-7 วัน ไปบ่อย ๆ ปีละ 3-5 ครั้ง
ลองไปที่นี่ (ฟรี/มีห้องพักส่วนตัว)  https://www.watbhaddanta.com/

ระหว่างที่ยังไม่ไป ให้พากันฝึกจิตแบบนี้
http://buddhisthotline.com/index.php?page=frmnews5&newsid=306

และตรงนี้
http://buddhisthotline.com/index.php?page=frmnews6&newsid=230

และตรงนี้
http://buddhisthotline.com/index.php?page=frmnews6&newsid=204

และตรงนี้
http://buddhisthotline.com/index.php?page=frmnews6&newsid=200




 
ชื่อผู้ตอบ
อาจารย์ผู้ให้คำปรึกษา 99
วันที่เขียน
22 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 21:00:35
ทั้งหมด 1 รายการ
1 / 1
อ่านป้ายฉลากยา 10,000 รอบ แต่ไม่กินยา มันก็คงรักษาโรคอะไรไม่ได้
เช่นกัน แม้ว่าจะอ่านหนังสือ 10,000 เล่ม ฟังเทศน์ 10,000 เรื่อง ปรึกษาผู้รู้ 10,000 คน ประโยชน์ก็มีเพียงน้อยนิด
หากเราไม่ลงมือทำ ไม่ลงมือปฏิบัติ ไม่พยายามทำ การมัวแต่คิดอยากให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ไปเฉยๆ จะมีผลสำเร็จอะไร